สรุปผลเบื้องต้นสำมะโนอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560 : ทั่วราชอาณาจักร

ข่าวผลสำรวจ Monday August 27, 2018 11:26 —สำนักงานสถิติแห่งชาติ

ทั่วราชอาณาจักร

สรุปผลเบื้องต้นสำมะโนอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560

เนื่องจากบริบทของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมทำให้โครงสร้างการดำเนินธุรกิจและอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นข้อมูลสถิติและสารสนเทศโครงสร้างขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรม จึงมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับภาครัฐ และเอกชนใช้ในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดทำสำมะโนอุตสาหกรรม เพื่อให้ประเทศมีข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญทางด้านอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ และภูมิภาค สำหรับปี 2560 เป็นการจัดทำสำมะโนอุตสาหกรรมครั้งที่ 5 ของประเทศไทย

สรุปข้อมูลเบื้องต้นฉบับนี้เป็นข้อมูลผลการดำเนินงานในรอบปี 2559 (1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2559) ของสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ที่ตั้งอยู่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งจัดจำแนกประเภทสถานประกอบการตามการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศไทย ปี 2552 (Thailand Standard Industrial Classification: TSIC 2009) สรุปได้ดังนี้

ลักษณะทั่วไปของสถานประกอบการ

จากการสำมะโนอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560 พบว่า ทั่วราชอาณาจักร มีสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต จำนวนทั้งสิ้น 443,188 แห่ง มีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบกับสำมะโนอุตสาหกรรมการผลิตเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นจำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นจังหวัดสุรินทร์ แพร่ ศรีสะเกษ และเชียงใหม่ ตามลำดับ

หมวดย่อยอุตสาหกรรม

เมื่อพิจารณาตามหมวดย่อยอุตสาหกรรม พบว่า เป็นสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร รองลงมาเป็นการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย การผลิตสิ่งทอ การผลิตไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้และไม้ก๊อก การผลิตสิ่งของจากฟางและวัสดุถักสานอื่น ๆ และการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์ (ยกเว้นเครื่องจักรและอุปกรณ์) นอกจากนี้เป็นการผลิตในหมวดย่อยอื่น ๆ มีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 6.0

ขนาดของสถานประกอบการ (จำนวนคนทำงาน)

เมื่อพิจารณาตามขนาดของสถานประกอบการ (จำนวนคนทำงาน) พบว่า สถานประกอบการผลิตทั่วราชอาณาจักร ส่วนใหญ่ร้อยละ 94.0 เป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงาน 1 - 15 คน ส่วนที่เหลือร้อยละ 6.0 เป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงานตั้งแต่ 16 คนขึ้นไป โดยเป็นสถานประกอบการที่มีคนทำงาน 16 - 25 คน มีร้อยละ 1.9 รองลงมา คือ สถานประกอบการที่มีคนทำงาน 51 - 200 คน และ 31 - 50 คน ร้อยละ 1.7 และ 1.1 ตามลำดับ ส่วนสถานประกอบการขนาดอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวข้างต้นมีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 1.0

รูปแบบการจัดตั้งตามกฎหมาย

เมื่อพิจารณาตามรูปแบบการจัดตั้งตามกฎหมาย พบว่า สถานประกอบการ ส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการส่วนบุคคล ร้อยละ 82.2 ที่มีรูปแบบการจัดตั้งในรูปแบบอื่น เช่น ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สหกรณ์ กลุ่มแม่บ้าน ฯลฯ ร้อยละ 8.1 สำหรับสถานประกอบการที่เป็นบริษัทจำกัด บริษัทจำกัด (มหาชน)และห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีร้อยละ 7.5 และ 2.2 ตามลำดับ

รูปแบบการจัดตั้งทางเศรษฐกิจ

หากพิจารณาตามรูปแบบการจัดตั้งทางเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 97.5เป็นสำนักงานแห่งเดียว ร้อยละ 1.5 เป็นสำนักงานใหญ่ และอีกร้อยละ 1.0 เป็นสำนักงานสาขา

ระยะเวลาในการดำเนินกิจการ

เมื่อพิจารณาตามระยะเวลาการดำเนินกิจการของสถานประกอบการ พบว่า สถานประกอบการ ร้อยละ 33.9 ดำเนินกิจการมาแล้ว 10 - 19 ปี ร้อยละ 21.3 ดำเนินกิจการ 5 - 9 ปี ร้อยละ 21.1 ดำเนินกิจการน้อยกว่า 5 ปี ร้อยละ 14.9 ดำเนินกิจการมาแล้ว 20 - 29 ปี และอีกร้อยละ 8.8 ดำเนินกิจการ ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป

ทุนจดทะเบียน

เมื่อพิจารณาทุนจดทะเบียนของสถานประกอบการอุตสาหกรรมทั่วราชอาณาจักร พบว่า สถานประกอบการมีทุนจดทะเบียนร้อยละ 8.8 ของสถานประกอบการทั้งสิ้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ร้อยละ 76.9 มีทุนจดทะเบียนน้อยกว่า 10 ล้านบาท ร้อยละ 15.8 มีทุนจดทะเบียน 10 - 99 ล้านบาท ส่วนสถานประกอบการที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียงร้อยละ 7.3

การมีต่างประเทศร่วมลงทุนหรือถือหุ้น

เมื่อพิจารณาการร่วมลงทุนจากต่างประเทศของสถานประกอบการทั่วราชอาณาจักรส่วนใหญ่ร้อยละ 99.3 ไม่มีการลงทุนจากต่างประเทศ และที่มีต่างประเทศร่วมลงทุนหรือถือหุ้นมีอยู่เพียง 3,045 แห่ง หรือร้อยละ 0.7 ในจานวนนี้ร้อยละ 48.4 เป็นสัดส่วนการลงทุนจากต่างประเทศ 10% - 50% และร้อยละ 45.6 เป็นการลงทุนจากต่างประเทศมากกว่า 50% ส่วนที่มีการลงทุนจากต่างประเทศน้อยกว่า 10% มีเพียงร้อยละ 6.0

อัตราการใช้กำลังการผลิต

หากพิจารณาอัตราการใช้กำลังการผลิตต่อปี 2559 ของสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต พบว่า มีการใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยประมาณ 83.0% โดยร้อยละ 69.2 รายงานว่ามีการใช้กำลังการผลิตตั้งแต่ 80% ขึ้นไป ที่รายงานว่ามีกำลังการผลิต 60 - 79% มีร้อยละ 20.8 ในขณะที่สถานประกอบการร้อยละ 10.0 รายงานว่ามีกำลังการผลิตน้อยกว่า 60%

คนทำงานในสถานประกอบการ

เมื่อพิจารณาคนทำงานในสถานประกอบการการผลิตทั่วราชอาณาจักร มีจำนวนประมาณ 4.46 ล้านคน พบว่า ร้อยละ 49.8 เป็นเพศชาย และร้อยละ 50.2 เป็นเพศหญิง

หากพิจารณาตามสถานภาพการทางาน พบว่า คนทำงานที่เป็นลูกจ้างมีฝึมือมากที่สุด โดยร้อยละ 54.2 เป็นลูกจ้างมีฝีมือชาย ซึ่งสูงกว่าเพศหญิงที่เป็นลูกจ้างมีฝีมือร้อยละ 47.6 ของคนทำงานหญิงทั้งหมด อย่างไรก็ตามคนทำงานในสถานภาพอื่นๆ ของเพศหญิงมีสัดส่วนแต่ละสถานภาพสูงกว่าเพศชาย ยกเว้นลูกจ้างมีฝีมือ

ค่าตอบแทนแรงงาน

เมื่อพิจารณาลูกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตที่ตั้งอยู่ทั่วราชอาณาจักร ได้รับค่าตอบแทนแรงงานรวมทั้งสิ้น 573,026.4 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อคนต่อปีประมาณ 147,358 บาท โดยลูกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตถ่านโค้กและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ได้รับค่าตอบแทนแรงงานต่อคนต่อปีสูงที่สุด คือ 442,101 บาท รองลงมาคือลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมกิจกรรมการบาบัดและบริการจัดการของเสียอื่น ๆ และการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ ได้รับค่าตอบแทนแรงงานเฉลี่ยต่อคนต่อปี 261,165 และ 239,394 บาท ตามลำดับ สำหรับลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวข้างต้นแต่ละหมวดย่อย ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อคนต่อปีต่ำกว่า 190,000 บาท

ผลการดำเนินกิจการของสถานประกอบการ

เมื่อพิจารณาในด้านการดำเนินกิจการของสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตทั่วราชอาณาจักร พบว่าในรอบปี 2559 มีมูลค่าผลผลิตรวมทั้งสิ้น 12.9 ล้านล้านบาท มีค่าใช้จ่ายขั้นกลางประมาณ 10.0 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าเพิ่มประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนของมูลค่าเพิ่มต่อมูลค่าผลผลิตประมาณร้อยละ 22.4

หากพิจารณาตามหมวดย่อยอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ พบว่า มูลค่าผลผลิต ค่าใช้จ่ายขั้นกลาง และมูลค่าเพิ่มของสถานประกอบการมาจากอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร สูงที่สุดประมาณร้อยละ 15.8 15.7 และ 16.4 ตามลาดับ รองลงมาเป็นการผลิตยานยนต์ รถพ่วง และรถกึ่งพ่วง ประมาณร้อยละ 15.6 16.3 และ 13.3 ตามลาดับ นอกจากนี้อุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ ในแต่ละหมวดย่อยมีมูลค่าผลผลิต ค่าใช้จ่ายขั้นกลาง และมูลค่าเพิ่มในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 12.0

ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ