สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 15, 2024 14:24 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 8 - 14 เมษายน 2567

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 การผลิต

1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 1.45 ร้อยละ 4.28 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้เกษตรกรในบางพื้นที่ปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว สำหรับผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ส่งผลต่อการงอกของต้นกล้า และการสร้างรวงของต้นข้าวที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับบางพื้นที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชระบาด เช่น โรคไหม้คอรวง เพลี้ยไฟ เป็นต้น ส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศลดลง

ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 โดยเดือนเมษายน 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.054 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.21 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในเดือนพฤษภาคม 2567 อีก 0.015 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 0.06 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด

2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.708 ล้านไร่ ผลผลิต 6.238 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 6.47 ร้อยละ 9.83 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว

คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนเมษายน 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 2.233 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 35.81 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม 2567 อีก 1.375 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 22.04 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,932 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,180 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.75

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,224 บาท ราคาลดลงจากตันละ 10,795 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.29

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,850 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 19,950 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 19,530 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.15

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 861 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,222 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 839 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,509 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.62 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 713 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 597 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,649 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตัน 578 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,018 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.29 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 631 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 594 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,540 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 589 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,418 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 122 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.2630 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

1) เวียดนาม

กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนาม รายงานว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 (มกราคม - มีนาคม) เวียดนามส่งออกข้าวปริมาณ 2.1 ล้านตัน มูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (มูลค่า 50,768 ล้านบาท) ซึ่งมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยมีฟิลิปปินส์เป็นผู้นำเข้าข้าวเวียดนามรายใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 38 ของส่วนแบ่งตลาด รองลงมา ได้แก่ อินโดนีเซีย จีน กานา มาเลเซีย และสิงคโปร์ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนาม ได้เชิญชวนกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกข้าวในประเทศให้มีการกระจายตลาดและเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ข้าวเวียดนามมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น

ปัจจุบันราคาข้าวเวียดนามปรับลดลง เนื่องจากอุปทานข้าวในตลาดมีปริมาณมากขึ้นจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวในฤดูการผลิตฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ ส่งผลให้ราคาข้าวขาว 5% ปรับลดลงเป็นตันละ 580 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 21,033 บาท) จากตันละ 590 - 595 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 21,395 - 21,576 บาท) เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน 2567 โดยวงการค้าข้าวคาดว่าการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวฤดูการผลิตฤดูหนาว - ฤดูใบไม้ผลิใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และคาดว่าหลังจากนี้ภาวะราคาข้าวจะมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

ที่มา สำนักข่าวซินหัว และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.2630 บาท

2) อินเดีย

ราคาส่งออกข้าวของอินเดียปรับลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งสอดคล้องกับภาวะความต้องการข้าวจากต่างประเทศที่ลดลง โดยราคาข้าวนึ่ง 5% ตันละ 540 - 548 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ19,582 - 19,872 บาท) ลดลงจากตันละ 550 - 558 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 19,945 - 20,235 บาท) เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน 2567 ซึ่งที่ผ่านมาข้าวอินเดียเคยปรับราคาขึ้นถึงระดับสูงสุดที่ตันละ 560 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ตันละ 20,307 บาท) เนื่องจากกรมศุลกากรเปลี่ยนวิธีการคำนวณภาษีส่งออกใหม่ในอัตราร้อยละ 20 จึงส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวอินเดียปรับสูงขึ้น

กรมการค้าต่างประเทศอินเดียได้ออกประกาศฉบับที่ 01/2566 ลงวันที่ 2 เมษายน 2567 เรื่องการส่งออกข้าว Kala Namak พิกัดศุลกากร 1006 30 90 (non-basmati white rice) ซึ่งประกาศฉบับดังกล่าว ได้ระบุมาตรการและเงื่อนไข โดยสรุปดังนี้ ภายใต้อำนาจที่ได้รับจากพระราชบัญญัติการค้าต่างประเทศ (การพัฒนาและการควบคุม) พ.ศ. 2535 พร้อมด้วยนโยบายการค้าต่างประเทศ พ.ศ. 2566 ได้อนุญาตให้ส่งออกข้าวพันธุ์ Kala Namak ปริมาณ 1,000 ตัน ผ่านด่านศุลกากรที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออก จำนวน 6 ด่าน ได้แก่ (1) ด่าน Varanasi Air Cargo รัฐอุตตรประเทศ (2) ด่าน JNCH รัฐมหาราษฏระ (3) ด่าน CH Kandla รัฐคุชราต (4) ด่าน LCS Nepalgunj Road (5) ด่าน LCS Sonauli และ (6) ด่าน LCS Barhni โดยประกาศฯ ได้กำหนดให้ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดการเกษตรและการค้าต่างประเทศ (The Director of Agriculture Marketing & Foreign Trade) เมืองลัคเนา รัฐอุตตรประเทศ เป็นผู้มีอำนาจในการลงนามรับรองการส่งออกข้าวพันธุ์ Kala Namak โดยมาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการส่งออกเท่านั้น แต่ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการค้าต่างประเทศ ทั้งนี้ ข้าวพันธุ์ Kala Namak เป็นข้าวขาวพันธุ์พิเศษ ที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติมีพื้นที่ปลูกในรัฐอุตตรประเทศ และเป็นข้าวขาวพันธุ์แรกที่ได้รับการยกเว้นจากมาตรการห้ามส่งออก ซึ่งการออกประกาศฯ ดังกล่าว อาจทำให้เกษตรกรทั่วประเทศที่ต้องการปลูกข้าวพันธุ์ดีเกิดความสนใจ และสามารถส่งออกข้าวดังกล่าวได้ตามปกติ

ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 36.2630 บาท

3) ฟิลิปปินส์ - เวียดนาม

สำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนามในฟิลิปปินส์ ระบุว่า ปัจจุบันรัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังพยายามลดการพึ่งพาการนำเข้าข้าวจากเวียดนามเป็นหลัก โดยให้เน้นการนำเข้าแบบกระจายไปยังประเทศผู้ส่งออกข้าวรายอื่นๆ ซึ่งได้ชี้แจ้งให้กระทรวง หน่วยงานกำกับดูแล และภาคธุรกิจในเวียดนามทราบแล้ว ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนามในฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ฟิลิปปินส์มีการผลิตข้าว

แต่ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและพฤติกรรมของเกษตรกร โดยในช่วงที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์มีข้าวในสต็อกประมาณ 19-20 ล้านตันข้าวเปลือก (ประมาณ 12-13 ล้านตันข้าวสาร) ซึ่งข้อได้เปรียบของข้าวเวียดนามในตลาดฟิลิปปินส์ คือ ผู้ประกอบการส่งออกข้าวของเวียดนามจำนวนมากมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยาวนานกับผู้นำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ ทำให้มีความไว้วางใจระหว่างกัน โดยข้าวของเวียดนามมีลักษณะตรงตามรสนิยมและพฤติกรรมการบริโภค จึงสามารถตอบสนอง ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์ สำหรับราคาข้าวเวียดนามอยู่ในระดับปานกลาง ทำให้มีศักยภาพในการแข่งขันได้ นอกจากนี้ อุปทานข้าวเวียดนามมีเสถียรภาพทั้งในด้านราคาและปริมาณที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการนำเข้าในแต่ละปีของฟิลิปปินส์ได้ ประกอบกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเวียดนามที่มีความสะดวกในการขนส่งข้าวทางเรือไปยังฟิลิปปินส์ อีกทั้งเวียดนามยังใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าทวิภาคีและพหุภาคีที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกัน ในขณะที่พันธมิตรนอกอาเซียน เช่น อินเดีย และปากีสถาน ไม่มีข้อตกลงดังกล่าว

ปัจจุบันความต้องการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ยังอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่าในปี 2567 จะนำเข้าประมาณ 3.5-3.8 ล้านตัน ซึ่งฟิลิปปินส์เป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของเวียดนามมาโดยตลอด ทั้งนี้ เพื่อให้เวียดนาม ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวในฟิลิปปินส์ ผู้ประกอบการส่งออกข้าวเวียดนามจำเป็นต้องมีการเตรียมการที่ดีและ มีกลยุทธ์ในการแข่งขัน เช่น การลงทุนด้านภาพลักษณ์และชื่อเสียง การขยายโอกาสหาคู่ค้าและผู้นำเข้ารายใหม่ โดยผู้ประกอบการข้าวเวียดนามจำเป็นต้องร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (Ministry of Industry and Trade: MoIT) สถานทูตเวียดนาม และสำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนามในฟิลิปปินส์ เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ข้าวเวียดนาม นอกจากนี้ เวียดนามจำเป็นต้องรักษาคุณภาพข้าว รวมทั้งการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพข้าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวของเวียดนามสู่ตลาดฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม จะพิจารณาการส่งออกข้าวไปยังตลาดอื่นๆ ด้วย

ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ