ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนธันวาคม 2565

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 22, 2023 13:28 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม 2565 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัว ร้อยละ 8.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากภาคการส่งออกที่หดตัวจากผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมที่เน้นตลาดในประเทศรวมถึงที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว หลายอุตสาหกรรมยังขยายตัวได้ดี อาทิ น้ำมันปาล์ม การกลั่นน้ำมัน รองเท้า กระเป๋า และเครื่องดื่ม

เมื่อพิจารณาข้อมูล MPI ย้อนหลัง 3 เดือน เทียบกับปีก่อน (%YoY) เดือนกันยายน ขยายตัวร้อยละ 3.3 เดือนตุลาคม หดตัวร้อยละ 3.9 และเดือนพฤศจิกายน หดตัวร้อยละ 5.1

สำหรับ 3 เดือนที่ผ่านมา เดือนกันยายน เดือนตุลาคม และเดือนพฤศจิกายน 2565 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ MPI เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (%MoM) มีอัตราการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ กล่าวคือ ในเดือนกันยายน หดตัวร้อยละ 1.7 เดือนตุลาคม หดตัวร้อยละ 4.3 และเดือนพฤศจิกายน ขยายตัวร้อยละ 2.1

อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนธันวาคม 2565 หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ

? Hard Disk Drive หดตัวร้อยละ 39.36 ตามการทยอยยกเลิกผลิตสินค้าที่มีความต้องการในตลาดโลกลดลง รวมถึงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลต่อการลงทุนและกำลังซื้อ

? เม็ดพลาสติก หดตัวร้อยละ 24.59 จากความต้องการสินค้า โดยเฉพาะที่นำไปผลิตอุปกรณ์ ทางการแพทย์ปรับตัวลดลง รวมถึงผู้ผลิตบางรายหยุดซ่อมบำรุงและหยุดผลิตชั่วคราว

? เฟอร์นิเจอร์ หดตัวร้อยละ 46.01 จากเครื่องเรือนทำด้วยไม้และโลหะเป็นหลัก โดยเครื่องเรือน ทำด้วยไม้ สาเหตุหลักจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ปรับลดลง ซึ่งเป็นการปรับลดลงเข้าสู่สภาวะปกติก่อนการระบาดของโควิด 19 ในประเทศจีน ซึ่งในช่วงดังกล่าวจีนไม่สามารถผลิตและส่งสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ โดยจีนเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องเรือนไม้อันดับที่ 1 ของโลก ส่วนเครื่องเรือนทำด้วยโลหะ การผลิตกลับเข้าสู่ระดับปกติหลังจากปีก่อนได้รับคำสั่งซื้อพิเศษ

อุตสาหกรรมสำคัญที่ยังขยายตัวในเดือนธันวาคม 2565 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

? น้ำมันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 33.44 เนื่องจากความต้องการใช้ที่มากขึ้นในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมไบโอดีเซล อุตสาหกรรมอาหาร ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงผลผลิตปาล์มน้ำมันในปีนี้ มีจำนวนมาก ประกอบกับความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศอินเดีย ซึ่งไทยมีการส่งออก เพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้

? รถยนต์ ขยายตัวร้อยละ 2.06 จากการขยายตัวของตลาดส่งออก หลังปัญหาการขาดแคลนพื้นที่จอดรถยนต์ในเรือประเภทบรรทุกสินค้าที่มีล้อคลี่คลายลง รวมถึงผู้ผลิตได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น ทำให้สามารถผลิตเพื่อส่งออกได้เพิ่มขึ้น

เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ

เดือนธันวาคม 2565

เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ เดือนธันวาคม 2565

การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย

การนำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ ในเดือนธันวาคม 2565 มีมูลค่า 1,490.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยหดตัวจากการนำเข้า เครื่องจักร ใช้ในการก่อสร้างและส่วนประกอบ เครื่องกังหันไอพ่นและส่วนประกอบ เครื่องจักรและอุปกรณ์ใช้ในการแปรรูปยาง หรือพลาสติก เครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว เครื่องจักรสิ่งทอ เป็นต้น

การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนธันวาคม 2565 มีมูลค่า 7,839.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 15.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการนำเข้าหดตัวในสินค้าประเภทเคมีภัณฑ์อนินทรีย์ เหล็กและเหล็กกล้าประเภทเหล็ก ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้าไม่เป็นสนิม

โรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนธันวาคม 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 181 โรงงาน เพิ่มขึ้นจาก เดือนพฤศจิกายน 2565 ร้อยละ 35.07 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.18 (%YoY)

มูลค่าเงินลงทุนรวมจากโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนธันวาคม 2565 มีมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2565 ร้อยละ 79.54 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.49 (%YoY)

?อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนธันวาคม 2565 คือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอกกรวด ทราย หรือดิน จำนวน 17 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซัม จำนวน 15 โรงงาน?

?อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในเดือนธันวาคม 2565 คือ อุตสาหกรรมการผลิต ประกอบ หรือซ่อมแซมเครื่องสูบน้ำ เครื่องอัดอากาศ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า จำนวนเงินทุน 1,188 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวนเงินทุน 944 ล้านบาท

สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรม (ต่อ)

จำนวนโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการในเดือนธันวาคม 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 40 ราย ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2565 ร้อยละ 28.57 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38.46 (%YoY)

เงินทุนของการเลิกกิจการในเดือนธันวาคม 2565 มีมูลค่ารวม 1,620 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2565 ร้อยละ 19.03 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 39.92 (%YoY)

?อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานที่มีการเลิกประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนธันวาคม 2565 คือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอกกรวด ทราย หรือดิน จำนวน 7 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการทำน้ำแข็ง หรือ ตัด ซอย บด หรือย่อยน้ำแข็ง จำนวน 3 โรงงาน

?อุตสาหกรรมที่มีการเลิกประกอบกิจการโดยมีเงินลงทุนสูงสุด ในเดือนธันวาคม 2565 คือ อุตสาหกรรม โรงงานห้องเย็น มูลค่าเงินลงทุน 1,252 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการถลุง หลอม หล่อ รีด ดึง เหล็ก หรือเหล็กกล้า มูลค่าเงินลงทุน 54 ล้านบาท?

ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรายสาขา เดือนธันวาคม 2565

1. อุตสาหกรรมอาหาร

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เดือนธันวาคม 2565 หดตัว (%YoY) ร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่มีดัชนีผลผลิตหดตัว มีดังนี้ 1) มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 26.1 จากสินค้าสำคัญคือ แป้งมันสำปะหลัง หดตัว ร้อยละ 27.1 เนื่องจาก ปริมาณหัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดน้อยลง จากการที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเนื้อที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตมันสำปะหลังบางส่วนได้รับความเสียหาย 2) ผักและผลไม้แปรรูป หดตัวร้อยละ 21.6 จากสินค้าสำคัญคือ สับปะรดกระป๋อง หดตัวร้อยละ 13.9 เนื่องจากในปีนี้มีการเพาะปลูกสับปะรดลดลง จากต้นทุนการเพาะปลูกที่สูงขึ้น 3) ประมง หดตัวร้อยละ 11.9 จากสินค้าสำคัญ ได้แก่ กุ้งแช่แข็ง หดตัวร้อยละ 18.3 เนื่องจากต้นทุนค่าอาหารกุ้งที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุน การเพาะเลี้ยงและราคาจำหน่ายปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ความต้องการบริโภคของตลาดในประเทศลดลง รวมถึงการประสบปัญหาโรคระบาดในกุ้งที่ทำให้ผลผลิตกุ้งลดลง อย่างไรก็ตาม ยังมีดัชนีสินค้าอาหารบางรายการขยายตัว ดังนี้ 1) น้ำมันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 33.4 จากสินค้าสำคัญคือ น้ำมันปาล์มดิบ ขยายตัวร้อยละ 87.0 และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ขยายตัวร้อยละ 1.2 เนื่องจากความต้องการใช้ ที่มากขึ้นในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมไบโอดีเซล อุตสาหกรรมอาหาร ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันในปีนี้มีจำนวนมาก ประกอบกับความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศอินเดีย ซึ่งไทยมีการส่งออกเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ 2) น้ำตาล ขยายตัวร้อยละ 3.7 จากสินค้าสำคัญคือ น้ำตาลทรายขาว ขยายตัวร้อยละ 31.6 เนื่องจากความต้องการบริโภคทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้น จากการขยายตัว ทางเศรษฐกิจเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม 3) ปศุสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 2.2 จากสินค้าสำคัญคือ เนื้อไก่แช่แข็งและแช่เย็น ขยายตัวร้อยละ 5.1 เนื่องจากความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงมีอยู่ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่ไทยได้ขยายตลาดส่งออกใหม่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย

การจำหน่ายในประเทศ ปริมาณการผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าอาหารในประเทศเดือนธันวาคม 2565 หดตัว (%YoY) ร้อยละ 13.7 โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่หดตัว เช่น 1) แป้งมันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 36.8 2) สับปะรดกระป๋อง หดตัวร้อยละ 34.6 3) กุ้งแช่แข็ง หดตัวร้อยละ 21.0 4) เครื่องปรุงรสประจำโต๊ะอาหาร หดตัวร้อยละ 20.8

ตลาดส่งออก การส่งออกสินค้าอาหารเดือนธันวาคม 2565 ในภาพรวม ขยายตัวร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าดังนี้ 1) ปศุสัตว์ จากสินค้าสำคัญคือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง โดยตลาดหลัก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น 2) ข้าวและธัญพืช จากสินค้าสำคัญ คือ ข้าว โดยตลาดหลัก คือ อิรัก สหรัฐอเมริกา จีน 3) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ จากสินค้าสำคัญคือ น้ำมันปาล์ม โดยตลาดส่งออกน้ำมันปาล์มที่สำคัญ ได้แก่ อินเดีย

คาดการณ์แนวโน้ม เดือนมกราคม 2566 ในภาพรวมยังคงมีแนวโน้มหดตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของโลกที่ยังคงชะลอตัว รวมถึงฐานของปีก่อนค่อนข้างสูง จากการที่ภาวะเศรษฐกิจ ดีขึ้นหลังการคลี่คลายของไวรัสโควิด 19 อย่างไรก็ตามภาคการท่องเที่ยว ในประเทศมีแนวโน้มเติบโต จากการที่เปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะหดตัวเล็กน้อย เนื่องจากความต้องการสินค้าลดลง จากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐอเมริกา และประเทศ กลุ่มยุโรป

2. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

? อุตสาหกรรมไฟฟ้า

การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ

79.8 ปรับตัวลดลงร้อยละ 15.0 เมื่อเทียบ กับเดือนเดียวกัน

ของปีก่อน โดยสินค้าที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ ตู้เย็น พัดลมตามบ้าน

และเครื่องซักผ้า โดยลดลงร้อยละ 36.9, 29.5 และ17.3 ตามลำดับ

เนื่องจากความต้องการสินค้าในประเทศและคำสั่งซื้อจาก

ต่างประเทศลดลง ในขณะที่สินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ กระติก

น้ำร้อน สายไฟฟ้า และหม้อแปลงไฟฟ้า โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.7,

7.9 และ 1.1 ตามลำดับ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ

เพิ่มมากขึ้น

การส่งออกเครื่องใช้ไฟ ฟ้า มีมูลค่า 2,244.0

ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 13.0 เมื่อเทียบกับ

เดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าที่มีคำสั่งซื้อลดลง ได้แก่ ตู้เย็น ตู้แช่

และส่วนประกอบ ลดลงร้อยละ 37.8 ในตลาดออสเตรเลีย ญี่ปุ่น

และสหรัฐอเมริกา สายไฟฟ้า สายเคเบิ้ล ลดลงร้อยละ 35.40

ในตลาดญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเวียดนาม มอเตอร์และเครื่องกำเนิด

ไฟฟ้า ลดลงร้อยละ 21.1 ในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี

เครื่องซักผ้า ซักแห้ง และส่วนประกอบ ลดลงร้อยละ 20.4 ในตลาด

เวียดนาม และออสเตรเลีย เครื่องตัดต่อและป้องกันวงจรไฟฟ้า

ลดลงร้อยละ 13.0 ในตลาดจีน สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้

เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ลดลงร้อยละ 10.9 จากตลาด

ไต้หวัน ออสเตรเลีย และเวียดนาม เตาอบไมโครเวฟ ลดลงร้อยละ

6.9 ในตลาดสหรัฐอเมริกา จีน และไต้หวัน และแผงสวิตช์และแผง

ควบคุมกระแสไฟฟ้า ลดลงร้อยละ 4.5 ในตลาดสิงคโปร์ เวียดนาม

และจีน ในขณะที่สินค้าที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า

และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 86.0 ในตลาดยุโรป และ

สหรัฐอเมริกา และพัดลม เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.9 ในตลาดเยอรมนี

สหรัฐอเมริกา และจีน

?คาดการณ์การผลิต เดือนม กราคม 2566 อุตสาห กรรม

เครื่องใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.0-4.0

เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะชะลอตัวทาง

เศรษฐกิจของประเทศสำคัญ เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน

รวมทั้งภาวะอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบสูงขึ้น?

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ

91.5 ปรับตัวลดลงร้อยละ 14.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกัน

ของปีก่อน โดยสินค้าที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ HDD และ PWB

โดยลดลงร้อยละ 40.8 และ 40.1 ตามลำดับ เนื่องจากมีการ

จำหน่ายในประเทศลดลงและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง

ในขณะที่สินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ PCBA และ IC โดย

เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.2 และ 5.8 เนื่องจากความต้องการสินค้าของ

ตลาดในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น

การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่า 4,143.3

ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับ

เดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าที่มีคำสั่งซื้อลดลง ได้แก่ HDD

มีมูลค่า 984.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 34.1 ในตลาด

เนเธอร์แลนด์ จีน และสหรัฐอเมริกา วงจรพิมพ์ มีมูลค่า 113.6

ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 19.6 ในตลาดญี่ปุ่น เวียดนาม

และสหรัฐอเมริกา และแผงวงจรไฟฟ้า มีมูลค่า 747.1 ล้านเหรียญ

สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.6 ในตลาดอาเซียน ในขณะที่สินค้าที่มี

คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด

มีมูลค่า 457.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 83.7 ในตลาด

ยุโรป เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา

?คาดการณ์การผลิตเดือนมกราคม 2566 อุตสาหกรรม

อิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะปรับตัวลดลงร้อยละ 3.0-5.0 เมื่อเทียบ

กับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการลดลงของการ Work

From Home ส่งผลให้การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีแนวโน้ม

ลดลงและปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตที่ทำให้ราคา

ต้นทุนสูงขึ้น?

3. อุตสาหกรรมยานยนต์

? อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์

การผลิตรถยนต์ ในเดือนธันวาคม ปี 2565 มีจำนวน

158,606 คัน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ร้อยละ 16.59

(%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 2.75

(%YoY) เนื่องจาก ได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น ทำให้

สามารถผลิตเพื่อส่งออกได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการ

ผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์กระบะ 1 ตัน และอนุพันธ์

การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ในเดือนธันวาคม ปี 2565

มีจำนวน 82,799 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ร้อยละ

21.26 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 9.02

(%YoY) เนื่องจากฐานสูงในปีก่อน โดยเป็นการปรับลดลงของการ

จำหน่ายรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์

การส่งออกรถยนต์ ในเดือนธันวาคมปี 2565 มีจำนวน

111,605 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายนปี 2565 ร้อยละ 26.85

(%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 10.17

(%YoY) โด ย ต ล ด ส่ง อ อ ก มีก ร เพิ่ ม ขึ้น ใน ต ล ด เอ เชีย

ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกากลางและใต้

?คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในเดือน

มกราคม ปี 2566 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม ปี 2565

เนื่องจาก แนวโน้มการขยายตัวของตลาดส่งออก และการคลี่คลาย

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19?

อุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์

การผลิตรถจักรยานยนต์ ในเดือนธันวาคม ปี 2565

มีจำนวน 180,474 คัน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน ปี 2565

ร้อยละ 4.53 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน

ร้อ ย ล 7 .5 4 (%YoY) จ ก ก ร เพิ่ ม ขึ้น ข อ ง ก ร ผ ลิต

รถจักรยานยนต์แบบอเนกประสงค์ และแบบสปอร์ต

การจำห น่ายรถ จัก รยาน ยน ต์ ใน เดือน ธัน วาค ม

ปี 2565 มียอดจำหน่ายจำนวน 144,445 คัน ลดลงจากเดือน

พฤศจิกายน ปี 2565 ร้อยละ 4.33 (%MoM) และลดลงเล็กน้อย

จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 0.62 (%YoY) จากการลดลง

ของยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขนาด 51-110 ซีซี และ

251-399 ซีซี

การส่งออกรถจักรยานยนต์ ในเดือนธันวาคม ปี 2565

มีจำนวน 52,060 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ปี 2565

ร้อยละ 27.92 (%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน

ร้อยละ 44.30 (%YoY) โดยตลาดส่งออกมีการเพิ่มขึ้นในประเทศ

เบลเยียม ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร

?คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์

ในเดือนมกราคม ปี 2566 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม

ปี 2565 เนื่องจาก แนวโน้มการขยายตัวของตลาดส่งออก และการ

คลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19?

4. อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางพารา

การผลิต

ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น) ลดลงลงร้อยละ 18.59 จากการชะลอตัวของการผลิต ทั้งยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น

ยางรถยนต์ ลดลงร้อยละ 2.72 จากการลดลงของ การผลิตยางรถยนต์นั่ง และยางรถบรรทุกและรถโดยสาร

ถุงมือยาง ลดลงร้อยละ 26.69 จากความต้องการ ถุงมือยางในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

การจำหน่ายในประเทศ

ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น) ลดลงร้อยละ 6.58 จากความต้องการทั้งผลิตภัณฑ์ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ลดลง

ยางรถยนต์ ลดลงร้อยละ 12.30 ตามการชะลอตัวของตลาด REM (Replacement Equipment Manufacturer)

ถุงมือยาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.65 จากความต้องการใช้ของถุงมือยางเพื่อป้องกันโรคในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง

การส่งออก

ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่น ยางแท่ง และ น้ำยางข้น) มีมูลค่าลดลงร้อยละ 47.64 เป็นผลจากการลดลงของการ ส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไปตลาดจีน และ น้ำยางข้นไปตลาดมาเลเซีย

ยางรถยนต์ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 16.04 จากการ ชะลอตัวของการส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

ถุงมือยาง มีมูลค่าลดลงร้อยละ 41.06 จากความต้องการถุงมือยางในตลาดโลกและราคาที่ปรับลดลงจากในช่วง ที่ผ่านมา

คาดการณ์ภาวะอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2566

การผลิตและจำหน่ายยางแปรรูปขั้นปฐมในประเทศ คาดว่าจะชะลอตัวจากแนวโน้มความต้องการใช้ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ลดลง สำหรับการผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์ในประเทศ คาดว่า จะกลับมาขยายตัวตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและความต้องการยางรถยนต์ในตลาด REM ที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (ช้อปดีมีคืน) ทางด้านการผลิตถุงมือยางคาดว่า จะชะลอตัว จากความต้องการถุงมือยางในตลาดโลกที่ปรับลดลงเป็นหลัก แต่ในส่วนของการจำหน่ายถุงมือยางในประเทศ คาดว่าจะขยายตัวจากความต้องการใช้ถุงมือยางเพื่อป้องกันโรค ในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

การส่งออกยางแปรรูปขั้นปฐม คาดว่าจะมีมูลค่าลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของทั้งผลิตภัณฑ์ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น มีแนวโน้มชะลอ การสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากไทย สำหรับการส่งออก ยางรถยนต์ คาดว่าจะกลับมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ ความต้องการยางรถยนต์ในตลาดสหรัฐอเมริกาที่คาดว่า จะกลับมาฟื้นตัว ในส่วนของการส่งออกถุงมือยาง คาดว่าจะยังคงมีมูลค่าลดลงจากความต้องการถุงมือยางในตลาดโลกและราคา ที่ปรับลดลงจากในช่วงที่ผ่านมาเป็นหลัก

5. อุตสาหกรรมพลาสติก

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ที่มา : สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

ดัชนีผลผลิต เดือนธันวาคม 2565 หดตัวร้อยละ 13.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตหดตัวในหลาย ผลิตภัณฑ์ เช่น แผ่นฟิล์มพลาสติก หดตัวร้อยละ 42.23 กระสอบพลาสติก หดตัวร้อยละ 29.69 และบรรจุภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ หดตัวร้อยละ 17.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ดัชนีการส่งสินค้า เดือนธันวาคม 2565 หดตัวร้อยละ 9.10 โดยผลิตภัณฑ์ที่หดตัว เช่น กระสอบพลาสติก หดตัวร้อยละ 32.01 แผ่นฟิล์มพลาสติก หดตัวร้อยละ 22.55 และบรรจุภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ หดตัวร้อยละ 20.83 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

การส่งออก เดือนธันวาคมปี 2565 มีมูลค่ารวม 322.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 14.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้การส่งออกหดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์หลอดหรือท่อ (HS 3917) หดตัวร้อยละ 32.11 ผลิตภัณฑ์แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์ และแถบอื่น ๆ ชนิดยึดติดในตัว (HS 3920) หดตัวร้อยละ 19.53 ผลิตภัณฑ์แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์ และ แถบอื่น ๆ ที่เป็นแบบเซลลูลาร์ (HS 3921) หดตัวร้อยละ 17.64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

การนำเข้า เดือนธันวาคม 2565 มีมูลค่ารวม 392.01 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 12.24 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์หลักที่ส่งผลให้การนำเข้าหดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติกปูพื้น (HS 3918) หดตัวร้อยละ 38.45 ผลิตภัณฑ์ใยยาวเดี่ยว (HS 3916) หดตัวร้อยละ 32.73 ผลิตภัณฑ์แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์ และแถบอื่น ๆ ชนิดยึดติดในตัว (HS 3919) หดตัวร้อยละ 30.04 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน

แนวโน้มอุตสาหกรรมพลาสติก เดือนมกราคม 2566 คาดการณ์ว่าการผลิตหดตัว เนื่องจากความต้องการซื้อภายในประเทศโดยรวมลดลง ผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังคงมีสินค้าคงคลัง ในปริมาณที่เพียงพอ การส่งออกมีแนวโน้มหดตัว เนื่องจากการ ซื้อขายในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลักมีการซื้อขายชะลอตัวจากช่วงวันหยุดยาว

ดัชนีผลผลิต ดัชนีการส่งสินค้า

ปริมาณและมูลค่าการส่งออก นาเข้า

6. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์

ดัชนีผลผลิต ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีผลผลิต เดือนธันวาคมปี 2565 หดตัวร้อยละ 16.80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นพื้นฐานหดตัวร้อยละ 6.53 ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตหดตัว ได้แก่ เอทานอล หดตัวร้อยละ 20.81 กรดเกลือ หดตัวร้อยละ 12.18 และโซดาไฟ หดตัวร้อยละ 1.75 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลายหดตัวร้อยละ 20.88 ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตหดตัว ได้แก่ ปุ๋ยเคมี หดตัว ร้อยละ 51.00 ยาสระผม หดตัวร้อยละ 29.91 และน้ำยา ปรับผ้านุ่ม หดตัวร้อยละ 29.46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน

ดัชนีการส่งสินค้า เดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 73.24 หดตัวร้อยละ 18.40 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐาน หดตัว ร้อยละ 9.67 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตหดตัว ได้แก่ โซดาไฟ หดตัวร้อยละ 11.44 กรดเกลือ หดตัวร้อยละ 9.36 และคลอรีน หดตัวร้อยละ 0.56 กลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลาย หดตัว ร้อยละ 21.04 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการหดตัว ได้แก่ สีน้ำมัน หดตัวร้อยละ 41.27 ยาสระผม หดตัวร้อยละ 40.65 และปุ๋ยเคมี หดตัวร้อยละ 30.09 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน

ปริมาณและมูลค่าการส่งออกและการนาเข้า

การส่งออก เดือนธันวาคม 2565 มีมูลค่าการส่งออกรวม 736.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 23.57 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกเคมีภัณฑ์พื้นฐาน มีมูลค่าการส่งออก 406.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 32.81 กลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลายมีมูลค่าการส่งออก 330.44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 8.00 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกหดตัว เช่น เคมีภัณฑ์อินทรีย์ หดตัวร้อยละ 44.16 เคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ด หดตัวร้อยละ 25.30 และสารลดแรงตึงผิว หดตัวร้อยละ 15.65 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน

การนำเข้า ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2565 มีมูลค่า การนำเข้ารวม 1,414 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 19.80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐานมีมูลค่าการนำเข้า 978.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ หดตัวร้อยละ 19.80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเคมีภัณฑ์ขั้นปลายมีมูลค่าการนำเข้า 435.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน

แนวโน้มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ เดือนมกราคม 2566 คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การผลิตและการส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ชะลอตัว ผู้ประกอบการชะลอการผลิตเพื่อรอดูสถานการณ์ ราคาต้นทุนวัตถุดิบและผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อเท่านั้น

7. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ดัชนีผลผลิต อยู่ที่ระดับ 85.40 หรือหดตัวร้อยละ 24.61 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และปรับตัวลดลงร้อยละ 4.58 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็นปิโตรเคมี ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ Propylene และ Ethylene หดตัวร้อยละ 34.85 และ 25.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ปิโตรเคมีขั้นปลาย ได้แก่ PP resin และ PS resin หดตัว ร้อยละ 37.41 และ 18.76 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน เป็นผลจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซและการชะลอตัวของการผลิตตามความต้องการที่ชะลอตัวลง

ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 85.37 หดตัวร้อยละ 21.00 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัวร้อยละ 2.92 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็นปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน ได้แก่ Toluene หดตัวร้อยละ 42.66 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน และปิโตรเคมีขั้นปลาย ได้แก่ PS resin และ PE resin หดตัวร้อยละ 33.29 และ 17.97 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

การส่งออก เดือนธันวาคม ปี 2565 มีมูลค่า 767.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 37.13 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 15.40 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น PE resin และ PP resin เป็นต้น และหดตัวในกลุ่มปิโตรเคมี ขั้นพื้นฐาน เช่น Benzene เป็นต้น เนื่องจากสภาพการณ์ตลาดมีลักษณะการเก็งกำไรและรอให้ราคาปรับลดลง ประกอบกับความต้องการในการผลิตอุตสาหกรรมปลายน้ำลดลง รวมถึงการที่สหรัฐอเมริกาได้มุ่งส่งออกมายังตลาดเอเชียที่เป็นตลาดของไทยทดแทนจากการชะลอตัวของความต้องการจากสหภาพยุโรป

การนำเข้า ธันวาคม ปี 2565 มีมูลค่า 499.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 18.72 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหดตัวในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน เช่น Toluene เป็นต้น และหดตัวในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น PP resin

คาดการณ์แนวโน้ม เดือนมกราคม ปี 2566 คาดว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมจะชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปิดซ่อมบำรุงของโรงงานกลั่นน้ำมันและโรงผลิตปิโตรเคมีขั้นต้น และจากความต้องการใช้พลาสติกที่ลดลง ทั้งจากการชะลอการส่งออก โดยเฉพาะปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน เช่น Ethylene และ Propylene จากระดับราคาที่ปรับขยายตัวตามราคาน้ำมันดิบที่เป็นผลกระทบจากการหยุดการผลิตในหลายประเทศ จากความขัดแย้งยูเครน รัสเซียที่ยืดเยื้อ

8. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนธันวาคม 2565 มีค่า 78.9 หดตัวร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน เนื่องจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์กระป๋อง เมื่อพิจารณาตามผลิตภัณฑ์หลัก พบว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวทั้งในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมมีค่า 70.4 หดตัวร้อยละ 15.1 ผลิตภัณฑ์ที่การผลิตหดตัว มากที่สุด คือ เหล็กเส้นกลม หดตัวร้อยละ 41.2 รองลงมา คือ เหล็กลวด ลวดเหล็ก และเหล็กข้ออ้อย หดตัวร้อยละ 26.5 19.5 และ 13.0 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมมีค่า 84.4 หดตัวร้อยละ 2.7 ผลิตภัณฑ์ที่การผลิตหดตัวมากที่สุด คือ เหล็กแผ่นรีดเย็น หดตัวร้อยละ 30.7 รองลงมา คือ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี หดตัวร้อยละ 26.4 และ 1.1 ตามลำดับ

การบริโภคในประเทศ ในเดือนธันวาคม 2565 มีปริมาณการบริโภค 1.2 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 13.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการบริโภคเหล็ก ทรงยาวมีปริมาณ 0.5 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 12.2 จากการบริโภคเหล็กลวด ซึ่งหดตัวร้อยละ 38.1 ส่วนการบริโภค เหล็กทรงแบนมีปริมาณ 0.7 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 14.7 จากการบริโภคเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก หดตัวร้อยละ 29.6 รองลงมา คือ เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นรีดร้อน และ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี หดตัวร้อยละ 16.4 16.2 และ 12.4 ตามลำดับ

การนำเข้า ในเดือนธันวาคม 2565 มีปริมาณ การนำเข้า 0.7 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 23.0 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปริมาณการนำเข้าหดตัวทั้งในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวมีปริมาณการนำเข้า 0.1 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 29.6 เหล็กทรงยาวที่มีการหดตัว เช่น เหล็กลวด ชนิด Stainless Steel (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวัน) เหล็กลวด ชนิด Carbon Steel (ประเทศหลัก ที่ไทยนำเข้าลดลง คือ เวียดนาม จีน เยอรมนี และเกาหลีใต้) และเหล็กเส้น ชนิด Carbon Steel (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ อินเดีย จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น) สำหรับกลุ่มเหล็ก ทรงแบนมีปริมาณการนำเข้า 0.6 หดตัวร้อยละ 21.0 เหล็กทรงแบนที่มีการหดตัว เช่น เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ด้วยวิธีทางไฟฟ้า (EG) หดตัวร้อยละ 60.4 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) เหล็กแผ่น เคลือบดีบุก หดตัวร้อยละ 42.7 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ เยอรมนี ไต้หวัน และจีน) เหล็กแผ่นบางรีดเย็น ชนิด Carbon Steel หดตัวร้อยละ 36.7 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ สวีเดน อิตาลี เวียดนาม และไต้หวัน)

?แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนมกราคม 2566 คาดการณ์ว่า การผลิตจะหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงราคาพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชะลอการสั่งซื้อเพื่อดูทิศทางราคา ทั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่ควรติดตาม อาทิ สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ราคาเหล็กต่างประเทศ และการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรมเหล็กของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ของโลก เนื่องจากส่งผลต่อปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กในประเทศไทย?

9. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

การผลิต

การผลิตหดตัวตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยเส้นใย สิ่งทอหดตัวร้อยละ 11.83 ผ้าผืนหดตัวร้อยละ 19.19 เสื้อผ้าสำเร็จรูปหดตัวร้อยละ 30.53 เนื่องจากปัญหาด้านต้นทุน ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขึ้นค่าแรง และค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกที่ลดลง จากประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเดือนก่อน (MoM) พบว่า เส้นใยสิ่งทอขยายตัวร้อยละ 2.02

การจำหน่ายในประเทศ

เส้นใยสิ่งทอหดตัวร้อยละ 5.55 กลุ่มผ้าผืนหดตัว ร้อยละ 23.77 อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเดือนก่อน (MoM) พบว่า เส้นใยสิ่งทอขยายตัวร้อยละ 0.44

เสื้อผ้าสำเร็จรูป มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 6 โดยขยายตัวร้อยละ 11.71 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวกลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น การบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น

การนำเข้า

กลุ่มด้ายและเส้นใยหดตัวร้อยละ 8.05 ในตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย กลุ่มผ้าผืนหดตัวร้อยละ 16.46 ในตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน ไต้หวัน และเวียดนาม

เสื้อผ้าสำเร็จรูป ขยายตัวร้อยละ 40.27 ในตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน อิตาลี และเวียดนาม โดยมีการนำเข้าสินค้าราคาถูกถึงราคาปานกลางจำนวนมากจากจีน เข้ามาจำหน่ายของกลุ่มผู้ค้าสินค้าออนไลน์ และการนำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์ดังระดับโลก เพื่อรองรับเทศกาลเฉลิมฉลองและใช้ในการมอบเป็นของขวัญปีใหม่

การส่งออก

หดตัวตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยเส้นใยสิ่งทอ หดตัวร้อยละ 20.55 ผ้าผืนหดตัวร้อยละ 15.05 จากตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และเสื้อผ้าสำเร็จรูปหดตัวร้อยละ 21.85 จากตลาดสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เบลเยียม ฮ่องกง เนื่องจากคำสั่งซื้อที่ลดลงของประเทศคู่ค้าสำคัญ และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว จากการใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อในหลาย ๆ ประเทศ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้บริโภค

คาดการณ์ภาวะอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2566

การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากภาครัฐ เช่น ช้อปดีมีคืน โครงการเราเที่ยวด้วยกัน (ระยะที่ 5) และการประกาศเปิดประเทศของจีน เป็นสัญญาณที่ดีต่อการส่งออกไปยังตลาดจีน อย่างไรก็ตาม คาดว่าการผลิตจะหดตัวเล็กน้อย จากปัญหาเงินเฟ้อในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

10. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

การผลิตปูนซีเมนต์รวม ในเดือนธันวาคม ปี 2565 มีจำนวน 6.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย ร้อยละ 5.38 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.52 (%YoY) การจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมในประเทศ ในเดือนธันวาคม ปี 2565 มีปริมาณการจำหน่าย 2.98 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.03 (%MoM) แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลง ร้อยละ 10.1 (%YoY) เนื่องจากการฟื้นตัวในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นไปได้น้อย

การส่งออกปูนซีเมนต์รวม ในเดือนธันวาคม ปี 2565 มีจำนวน 0.51 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ร้อยละ 29.55 (%MoM) แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 41.86 (%YoY) โดยเป็นการปรับลดคำสั่งซื้อจากตลาดเวียดนาม บังกลาเทศ สปป.ลาว และกัมพูชา ร้อยละ 100 41.18 24.74 และ 20.77 ตามลำดับ

คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ ในภาพรวมเดือนมกราคม 2565 คาดว่า จะขยายตัวจากเดือนก่อน แต่จะเป็นไปในอัตราชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

การผลิตซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนธันวาคม ปี 2565 มีจำนวน 3.57 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก เดือนก่อน ร้อยละ 6.28 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 3.20 (%YoY) การจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนธันวาคม ปี 2565 มีปริมาณการจำหน่าย 2.98 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.03 (%MoM) โดยได้ปัจจัยหนุนจากโครงการก่อสร้างภาครัฐ แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลง ร้อยละ 10.1 (%YoY)

การส่งออกซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนธันวาคม ปี 2565 มีจำนวน 0.20 ล้านตัน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ร้อยละ 15.26 (%MoM) และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลง ร้อยละ 23.38 (%YoY) จากการปรับลดคำสั่งซื้อในตลาดเวียดนาม สปป.ลาว และกัมพูชา ร้อยละ 100 24.73 และ 16.30 คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนมกราคม ปี 2566 คาดว่าจะขยายตัว ตามความต้องการที่อยู่อาศัยที่เริ่มฟื้นตัว แต่จะเป็นไปในอัตราชะลอตัวลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ