กรุงเทพ--16 ส.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2547 กระทรวงการต่างประเทศได้จัดพิธีเปิดการประชุมกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำต่างประเทศขึ้นที่กระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังพิธีเปิด ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ดังนี้
1. การประชุมกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำต่างประเทศครั้งนี้นับเป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่ประเทศไทย ทั้งนี้ ไทยไม่สามารถเปิดสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยได้ทุกแห่งในโลก เพราะฉะนั้น ในบางแห่งที่ไทยยังไม่มีสถานเอกอัครราชทูตในประเทศนั้น โดยอาจจะมีเพียงสถานเอกอัครราชทูตของไทยในประเทศอื่นที่ดูแลประเทศนั้นอยู่ ไทยก็ใช้วิธีการตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ขึ้นในประเทศนั้นเพื่อทำหน้าที่ช่วยประเทศไทยในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ
2. สิ่งที่ไทยจะได้จากการจัดประชุมครั้งนี้ก็คือ (1) กงสุลกิตติมศักดิ์จะได้รับฟังนโยบายของรัฐบาลไทยทั้งจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และจากดร. สุรเกียรติ์ฯ เอง ทั้งนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศและนโยบายต่างประเทศ ซึ่งรวมทั้งในเรื่อง OTOP SME การส่งออก การท่องเที่ยว รวมทั้งเรื่องที่กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้สนใจ เช่น สปา เป็นต้น (2) กงสุลกิตติมศักดิ์จะได้ทราบทิศทางนโยบายของไทยว่าเป็นอย่างไร เช่น ไทยมี FTA กับประเทศใดแล้วบ้าง เพื่อจะได้นำไปพูดกับนักธุรกิจของประเทศของเขาว่าการมาร่วมลงทุนกับไทยจะสามารถส่งสินค้าไปขายยังประเทศเหล่านั้นได้ด้วย (3) ไทยได้ใช้โอกาสนี้เล่าให้กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้ฟังว่าเศรษฐกิจของไทยมีความเข้มแข็งอย่างไร รวมทั้งเล่าให้กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้ทราบถึงความคิดริเริ่มใหม่ๆ ของนายกรัฐมนตรีในเรื่องการต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ACMECS, BIMST-EC และ เรื่อง ACD ว่าได้ทำให้เกิดโอกาสต่างๆ อย่างไร และ (4) การที่ไทยได้มีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้จะได้มีแนวทางว่าประเทศของเขาจะสามารถไปเป็น Partner กับไทยได้อย่างไรบ้าง
3. การที่กงสุลใหญ่และกงสุลกิตติมศักดิ์จาก 60 กว่าประเทศจากประมาณ 100 เมือง ได้มาพบปะกันที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยได้มีการจัดในช่วงเวลาเดียวกับที่มี การประชุมเอกอัครราชทูตไทยจากทั่วโลกด้วยนั้น ทำให้เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และกงสุลกิตติมศักดื๋ในทุกภูมิภาคและในภูมิภาคเดียวกันได้พบกันและได้แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เพราะสิ่งหนึ่งที่กระทรวงการต่างประเทศประสงค์จะให้เกิดขึ้นก็คือ สถานกงสุลกิตติมศักดิ์กับสถานเอกอัครราชทูตของไทยมีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง จากวันนี้เป็นต้นไปทั้งสองส่วนจะสามารถติดต่อกันได้โดยตรง ทั้งที่อยู่ประเทศเดียวกันหรือคนละประเทศแต่ในภูมิภาคเดียวกัน เพราะความร่วมมือทั้งหลายในปัจจุบันไม่ใช่มีแต่เฉพาะในประเทศเดียวกันเท่านั้น หากแต่รวมทั้งภูมิภาคด้วย เพราะฉะนั้น เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และกงสุลกิตติมศักดิ์ที่เป็นคนต่างประเทศก็จะได้รู้จักกันหมด ต่อจากนี้การทำงาน การประสานงาน การประสานข้อมูล และการส่งเสริมนโยบายต่างๆ ของไทยก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้น
4. กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์เหล่านี้เป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นนักธุรกิจสำคัญ และเป็นบุคคลที่รัฐบาลประเทศของเขาให้การยอมรับ เพราะการตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ต้องได้รับความเห็นชอบจากประมุขของรัฐหรือของประเทศนั้นๆ บุคคลเหล่านี้จึงถือเป็นหัวใจในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในทางที่ดี โดยให้กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้เป็นตัวแทนในด้านภาพพจน์ของประเทศไทย ตัวแทนในการเจาะตลาด และเป็นตัวแทนในการดึงเอาสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมของประเทศของเขา เข้ามายังประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมาที่มีกงสุลกิตติมศักดิ์อาจยังไม่ทราบนโยบายของ รัฐบาลไทยมากนัก ต่อแต่นี้ไปกงสุลกิตติมศักดิ์ทุกคนจะได้รับทราบทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อครู่นี้ได้มีกงสุลกิตติมศักดิ์เข้ามาแสดงความดีใจที่ได้มารับทราบนโยบายต่างๆ ของไทย โดย กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้จะได้นำสิ่งที่ตนได้รับฟังไปแจ้งกับภาคเอกชนและภาครัฐในประเทศของเขาอันจะเป็นการช่วยประเทศไทยอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนกับว่าไทยมีทูตของตนที่เป็นคนของชาตินั้นๆ โดยไทยไม่ต้องเสียงบประมาณในการจัดตั้งสถานเอกอัครราชทูต และไม่ต้องเสียงบประมาณในการส่งเอกอัครราชทูตไปประจำแต่อย่างใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยประเทศไทยได้อย่างมาก
5. อนึ่ง ประเด็นที่ ดร. สุรเกียรติ์ฯ ขอฝากเป็นพิเศษก็คือ ประสงค์จะเห็นสถานเอกอัครราชทูตกับสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มีการประสานข้อมูลกันมากขึ้น โดยไทยจะจัดทำ website ขึ้นมาและให้กงสุลกิตติมศักดิ์สามารถเข้าสู่ website ของไทยได้ด้วย ดังนั้น เมื่อนายกรัฐมนตรีไปกล่าวสุนทรพจน์ในสถานที่ใดก็ตามรวมทั้งในประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจหรือเรื่องการเมือง กงสุลกิตติมศักดิ์จะทราบได้ทันที ทั้งนี้ หากกงสุลกิตติมศักดิ์ประสงค์จะซื้อสินค้าจากประเทศไทย เช่น OTOP ประสงค์จะติดต่อกับบุคคลผู้ใดก็สามารถจะทำได้ทันที รวมทั้งการเปิดไทยสปาซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อสุขภาพ การนำผู้ป่วยเข้ามารักษาตัวในประเทศซึ่งตรงกับนโยบายของไทยในเรื่อง medical hub ก็จะสามารถติดต่อได้ทันทีเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้กงสุลกิตติมศักดิ์ทุกคนต่างก็แสดงความเห็นด้วย และพร้อมจะใช้เงินส่วนตัวในการจัดทำระบบข้อมูลต่างๆ ขึ้นเชื่อมกับสถานเอกอัครราชทูตและกระทรวงการต่างประเทศ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2547 กระทรวงการต่างประเทศได้จัดพิธีเปิดการประชุมกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำต่างประเทศขึ้นที่กระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังพิธีเปิด ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ดังนี้
1. การประชุมกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำต่างประเทศครั้งนี้นับเป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่ประเทศไทย ทั้งนี้ ไทยไม่สามารถเปิดสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยได้ทุกแห่งในโลก เพราะฉะนั้น ในบางแห่งที่ไทยยังไม่มีสถานเอกอัครราชทูตในประเทศนั้น โดยอาจจะมีเพียงสถานเอกอัครราชทูตของไทยในประเทศอื่นที่ดูแลประเทศนั้นอยู่ ไทยก็ใช้วิธีการตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ขึ้นในประเทศนั้นเพื่อทำหน้าที่ช่วยประเทศไทยในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ
2. สิ่งที่ไทยจะได้จากการจัดประชุมครั้งนี้ก็คือ (1) กงสุลกิตติมศักดิ์จะได้รับฟังนโยบายของรัฐบาลไทยทั้งจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และจากดร. สุรเกียรติ์ฯ เอง ทั้งนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศและนโยบายต่างประเทศ ซึ่งรวมทั้งในเรื่อง OTOP SME การส่งออก การท่องเที่ยว รวมทั้งเรื่องที่กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้สนใจ เช่น สปา เป็นต้น (2) กงสุลกิตติมศักดิ์จะได้ทราบทิศทางนโยบายของไทยว่าเป็นอย่างไร เช่น ไทยมี FTA กับประเทศใดแล้วบ้าง เพื่อจะได้นำไปพูดกับนักธุรกิจของประเทศของเขาว่าการมาร่วมลงทุนกับไทยจะสามารถส่งสินค้าไปขายยังประเทศเหล่านั้นได้ด้วย (3) ไทยได้ใช้โอกาสนี้เล่าให้กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้ฟังว่าเศรษฐกิจของไทยมีความเข้มแข็งอย่างไร รวมทั้งเล่าให้กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้ทราบถึงความคิดริเริ่มใหม่ๆ ของนายกรัฐมนตรีในเรื่องการต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ACMECS, BIMST-EC และ เรื่อง ACD ว่าได้ทำให้เกิดโอกาสต่างๆ อย่างไร และ (4) การที่ไทยได้มีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้จะได้มีแนวทางว่าประเทศของเขาจะสามารถไปเป็น Partner กับไทยได้อย่างไรบ้าง
3. การที่กงสุลใหญ่และกงสุลกิตติมศักดิ์จาก 60 กว่าประเทศจากประมาณ 100 เมือง ได้มาพบปะกันที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยได้มีการจัดในช่วงเวลาเดียวกับที่มี การประชุมเอกอัครราชทูตไทยจากทั่วโลกด้วยนั้น ทำให้เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และกงสุลกิตติมศักดื๋ในทุกภูมิภาคและในภูมิภาคเดียวกันได้พบกันและได้แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เพราะสิ่งหนึ่งที่กระทรวงการต่างประเทศประสงค์จะให้เกิดขึ้นก็คือ สถานกงสุลกิตติมศักดิ์กับสถานเอกอัครราชทูตของไทยมีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง จากวันนี้เป็นต้นไปทั้งสองส่วนจะสามารถติดต่อกันได้โดยตรง ทั้งที่อยู่ประเทศเดียวกันหรือคนละประเทศแต่ในภูมิภาคเดียวกัน เพราะความร่วมมือทั้งหลายในปัจจุบันไม่ใช่มีแต่เฉพาะในประเทศเดียวกันเท่านั้น หากแต่รวมทั้งภูมิภาคด้วย เพราะฉะนั้น เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และกงสุลกิตติมศักดิ์ที่เป็นคนต่างประเทศก็จะได้รู้จักกันหมด ต่อจากนี้การทำงาน การประสานงาน การประสานข้อมูล และการส่งเสริมนโยบายต่างๆ ของไทยก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้น
4. กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์เหล่านี้เป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นนักธุรกิจสำคัญ และเป็นบุคคลที่รัฐบาลประเทศของเขาให้การยอมรับ เพราะการตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ต้องได้รับความเห็นชอบจากประมุขของรัฐหรือของประเทศนั้นๆ บุคคลเหล่านี้จึงถือเป็นหัวใจในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในทางที่ดี โดยให้กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้เป็นตัวแทนในด้านภาพพจน์ของประเทศไทย ตัวแทนในการเจาะตลาด และเป็นตัวแทนในการดึงเอาสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมของประเทศของเขา เข้ามายังประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมาที่มีกงสุลกิตติมศักดิ์อาจยังไม่ทราบนโยบายของ รัฐบาลไทยมากนัก ต่อแต่นี้ไปกงสุลกิตติมศักดิ์ทุกคนจะได้รับทราบทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อครู่นี้ได้มีกงสุลกิตติมศักดิ์เข้ามาแสดงความดีใจที่ได้มารับทราบนโยบายต่างๆ ของไทย โดย กงสุลกิตติมศักดิ์เหล่านี้จะได้นำสิ่งที่ตนได้รับฟังไปแจ้งกับภาคเอกชนและภาครัฐในประเทศของเขาอันจะเป็นการช่วยประเทศไทยอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนกับว่าไทยมีทูตของตนที่เป็นคนของชาตินั้นๆ โดยไทยไม่ต้องเสียงบประมาณในการจัดตั้งสถานเอกอัครราชทูต และไม่ต้องเสียงบประมาณในการส่งเอกอัครราชทูตไปประจำแต่อย่างใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยประเทศไทยได้อย่างมาก
5. อนึ่ง ประเด็นที่ ดร. สุรเกียรติ์ฯ ขอฝากเป็นพิเศษก็คือ ประสงค์จะเห็นสถานเอกอัครราชทูตกับสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มีการประสานข้อมูลกันมากขึ้น โดยไทยจะจัดทำ website ขึ้นมาและให้กงสุลกิตติมศักดิ์สามารถเข้าสู่ website ของไทยได้ด้วย ดังนั้น เมื่อนายกรัฐมนตรีไปกล่าวสุนทรพจน์ในสถานที่ใดก็ตามรวมทั้งในประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจหรือเรื่องการเมือง กงสุลกิตติมศักดิ์จะทราบได้ทันที ทั้งนี้ หากกงสุลกิตติมศักดิ์ประสงค์จะซื้อสินค้าจากประเทศไทย เช่น OTOP ประสงค์จะติดต่อกับบุคคลผู้ใดก็สามารถจะทำได้ทันที รวมทั้งการเปิดไทยสปาซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อสุขภาพ การนำผู้ป่วยเข้ามารักษาตัวในประเทศซึ่งตรงกับนโยบายของไทยในเรื่อง medical hub ก็จะสามารถติดต่อได้ทันทีเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้กงสุลกิตติมศักดิ์ทุกคนต่างก็แสดงความเห็นด้วย และพร้อมจะใช้เงินส่วนตัวในการจัดทำระบบข้อมูลต่างๆ ขึ้นเชื่อมกับสถานเอกอัครราชทูตและกระทรวงการต่างประเทศ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-