1. ประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศ (25 กันยายน 2547 - 22 ตุลาคม 2547)
สหรัฐอเมริกา
-เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มขยายตัวแต่คาดว่าจะเป็นในลักษณะ moderate เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับลดลง ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง ทั้งนี้ IMF ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าลงจากร้อยละ 4.6 และ 3.9 เป็นร้อยละ 4.3 และ 3.5 ตามลำดับ
ในด้านอุปสงค์ ยอดค้าปลีก (retail sales) ล่าสุดในเดือนสิงหาคมลดลงร้อยละ 0.3 (mom) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 (yoy) ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากการปรับลดลงของยอดขายรถยนต์ และยอดขายในห้างสรรพสินค้า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นที่จัดทำโดย University of Michigan ในเดือนตุลาคมปรับตัวลดลงมา อยู่ที่ระดับ 87.5 เทียบกับระดับ 94.2 ในเดือนก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและการจ้างงานที่ยังเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ในด้านอุปทาน การผลิตในภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยขยายตัวร้อยละ 4.6 (yoy)เนื่องจากผลของพายุเฮอริเคนที่ทำให้การผลิตในหมวดพลังงานชะลอตัวลง ในขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 77.2 เท่ากับในเดือนก่อน
นอกจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อการชะลอตัวของการใช้จ่ายแล้วยังส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสูงขึ้น โดยล่าสุดในเดือนสิงหาคมขาดดุล 54 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.9 (yoy) ในขณะที่ราคาสินค้านำเข้าปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ราคาอาหารและราคาวัตถุดิบด้านอุตสาหกรรม
สำหรับงบประมาณประจำปี 2547 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2547) ยังคงขาดดุลสูงอยู่ที่ระดับ 412.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (ร้อยละ 3.6 ของ GDP) ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในประวัติการณ์ อันเป็นผลจากสงครามอิรักและรายจ่ายด้านการรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น
กลุ่มประเทศยูโร
เศรษฐกิจยูโรโซนในช่วงที่ผ่านมายังคงฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่เกิดจาก Second round effect ของราคาน้ำมันที่มีต่อการเรียกร้องค่าจ้าง (wage presure) ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งทำให้ ECB เชื่อว่าแนวโน้มเงินเฟ้อยังคงสอดคล้องกับเสถียรภาพของราคาในระยะปานกลาง ขณะเดียวกันนาย Trichet ประธาน ECB ได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งทางด้านการปฏิรูปนโยบายการคลัง การปฏิรูปโครงสร้างตลาดแรงงาน และการปฏิรูประบบประกันสังคมในยุโรป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก และทำให้ตลาดแรงงานมีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Productivity ให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม
สำหรับอัตราเงินเฟ้อ HICP ของกลุ่มประเทศยูโรโซนล่าสุดในเดือนกันยายน 2547 ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 (yoy) และเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินยูโรในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งช่วยผ่อนคลายแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในระยะสั้น ซึ่ง ECB เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ในปีหน้า
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมหดตัวร้อยละ 0.6 (mom) หรือขยายตัวร้อยละ 1.5 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 0.2 (mom) หรือขยายตัวร้อยละ 2.2 (yoy) โดยเป็นผลจากการหดตัวของผลผลิตในสินค้าบริโภคคงทน (Durable consumer goods) และการลดลงของการผลิตในภาคพลังงาน ขณะที่การผลิตสินค้า non-durable consumer goods ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย
สำหรับดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมล่าสุดในเดือนกันยายนชะลอลงมาอยู่ที่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 7 เดือนที่ 53.1 จากเดือนก่อนหน้าที่ 53.9 อันเป็นผลจากความไม่มั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งภายในกลุ่มยูโรโซน และเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ดัชนีดังกล่าวยังคงชี้ถึงการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 ขณะเดียวกันดัชนี PMI ภาคบริการก็ชะลอลงเช่นกัน โดยอยู่ที่ 53.3 จากเดือนก่อนที่ 54.5
ญี่ปุ่น
เครื่องชี้กิจกรรมเศรษฐกิจญี่ปุ่นบางตัว อาทิการผลิตภาคอุตสาหกรรม และ คำสั่งซื้อเครื่องจักรส่งสัญญาณว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 อาจไม่ได้แข็งแกร่งมากเหมือนกับช่วงครึ่งปีแรกนอกจากนี้ ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในระยะต่อไป คือ 1) แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของญี่ปุ่น และ2) การที่ญี่ปุ่นมีการสะสม inventory มากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี หากมี inventory correction จะมีความเสี่ยงที่การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจชะลอลง
ล่าสุดการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 9.4 (yoy) คำสั่งซื้อเครื่องจักรขยายตัวร้อยละ 5.4 (yoy) ส่วนการส่งออกในเดือนกันยายนขยายตัวร้อยละ 12.5 (yoy) อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มว่าการขยายตัวด้านการส่งออกได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว (การส่งออกลดลงร้อยละ 2.3 (mom) จากเดือนสิงหาคม)
ทั้งนี้ ผลสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการ (Tankan) ของธนาคารกลางญี่ป่นในเดือนกันยายน 2547 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนทั้งในส่วนบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก โดยดัชนีของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ปรับตัวจาก 22 มาอยู่ที่ 26 อย่างไรก็ดี บริษัทต่างๆ เริ่มมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับแนวโน้มของเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม
กลุ่มเอเชียตะวันออก
-เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 9.1 (yoy) โดยชะลอลงจากร้อยละ 9.8 และ 9.6 ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 ตามลำดับ ซึ่งการดำเนินมาตรการควบคุมสินเชื่อตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้ ได้ช่วยชะลอการลงทุนที่ขยายตัวในระดับสูงลงบ้าง โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 9 เดือนแรก ขยายตัวร้อยละ 27.7 (yoy) สำหรับการบริโภคของประชาชนซึ่งสะท้อนจากยอดค้าปลีกในช่วง 9 เดือนแรกยังขยายตัวดีที่ร้อยละ 13.0 สำหรับ อัตราเงินเฟ้อ 9 เดือนแรกอยู่ที่ร้อยละ 4.1 และล่าสุดเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 5.2 ลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย
ภาคต่างประเทศของจีนยังอยู่ในภาวะแข็งแกร่งการส่งออกเดือนกันยายนขยายตัวร้อยละ 33.1 (yoy) ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 37.4 ขณะที่การนำเข้าชะลอลงมากมาอยู่ที่ร้อยละ 22.1 เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 35.5 ปัจจัยที่ทำให้การนำเข้าชะลอลงมากส่วนหนึ่งมาจากฐานสูงในปีก่อน
การออกมาตรการชะลอเศรษฐกิจของทางการจีนไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศทำให้การลงทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้าจีนอย่างต่อเนื่องและการลงทุนจริง (FDI) ช่วง 9 เดือนแรกมีมูลค่ารวม 48.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.การค้าและการลงทุนจากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 514.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนกันยายน
ปริมาณสินเชื่อของจีนชะลอลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 13.6 (yoy) ในเดือนกันยายน เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 14.1 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งธนาคารกลางจีนมีความเห็นว่าอยู่ในภาวะแข็งแกร่งและปรับตัวดีขึ้นนอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์มีการให้สินเชื่อระยะสั้นเพิ่มขึ้น จึงอาจช่วยผ่อนคลายความตึงตัวของภาคธุรกิจที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน สำหรับปริมาณเงิน M2 ขยายตัวร้อยละ 13.9 ในเดือนกันยายนสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 13.6 อย่างไรก็ตามการขยายตัวของปริมาณเงิน M2 ยังคงต่ำกว่าเป้าที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ที่ร้อยละ 17
-เศรษฐกิจไต้หวันยังอยู่ในเกณฑ์ดี อนึ่ง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการควบคุมเศรษฐกิจของจีนอาจเป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจไต้หวันชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี ปัจจุบันไต้หวันได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อมากขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 2.8 เนื่องจากอาหารมีราคาสูงขึ้นจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ทำให้เกิดน้ำท่วมในเดือนกันยายน สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับไม่สูงนักที่ร้อยละ 1.0
-ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่แท้จริงของไต้หวันอยู่ในช่วงติดลบ นอกจากนี้ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์ สรอ.และดอลลาร์ไต้หวันเริ่มเพิ่มมากขึ้น ทำให้ชาวไต้หวันหันไปลงทุนในตราสารต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ธนาคารกลางไต้หวันประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน rediscount rate ร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.375 เป็นร้อยละ 1.625 โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2547 การปรับขึ้นครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 ปี พร้อมนี้ธนาคารกลางไต้หวันได้เริ่มปรับนโยบายเงินแบบผ่อนคลายมาตลอดในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยที่ปรับแล้วยังอยู่ในระดับต่ำจึงยังคงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่
-อัตราเงินเฟ้อฮ่องกงในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 0.7(yoy) เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ทำให้ระดับราคาในฮ่องกงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ อัตราค่าเช่าร้านค้าปลีก (retail rental rates) ซึ่งมีน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อถึงร้อยละ 20.9 ยังขยายตัวสูงโดยล่าสุดในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 10.2 (yoy) ในขณะเดียวกัน การบริโภคในประเทศยังคงขยายตัวต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีต่อเนื่อง โดยในเดือนสิงหาคมจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงขยายตัวสูงที่ร้อยละ 25.6 (yoy) ทั้งนี้ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 22 ของยอดค้าปลีก นอกจากนี้ ภาวะการจ้างที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งในส่วนของอัตราค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น และอัตราการว่างงานที่ลดลงก็เป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการบริโภคในประเทศต่อไป
อย่างไรก็ดี การส่งออกได้เริ่มมีสัญญาณชะลอลงโดยล่าสุดในเดือนกันยายนขยายตัวเพียงร้อยละ 14.1 (yoy) ชะลอลงจากเดือนสิงหาคมที่ขยายตัวร้อยละ 20.9 (yoy)
-เศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังมีปัจจัยผลักดันที่สำคัญจากการส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงร้อยละ 29.3 (yoy) ในเดือนกันยายนแม้ว่าจะชะลอลงจากร้อยละ 34.3 (yoy)ในเดือนสิงหาคม โดยภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดัคเตอร์ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงในการส่งออกทั้งหมดประมาณร้อยละ 35.2 และ 10.1 ตามลำดับ ยังขยายตัวในระดับสูง สำหรับการบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศยังคงซบเซา แม้ว่า Consumer confidence index จะปรับเพิ่มขึ้นจาก 87 ในเดือนสิงหาคม เป็น 88.9 ในเดือนกันยายน แต่ยังต่ำกว่า 100 ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ ในด้านแนวโน้มการลงทุน Business sentiment index ปรับตัวสูงขึ้นจาก 87.1 ในเดือนสิงหาคม เป็น 99.2 ในเดือนกันยายน เช่นกัน
สำหรับอัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนปรับตัวลดลงค่อนข้างมากเหลือร้อยละ 3.9 (yoy) จากร้อยละ 4.8 (yoy) ในเดือนสิงหาคม เนื่องจากราคาอาหารที่ปรับลดลงหลังจากได้เพิ่มสูงขึ้นมากในเดือนก่อนจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่น อนึ่ง ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 3.5 ในการประชุมในเดือนตุลาคมแทนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยให้เหตุผลสำคัญเนื่องจากความไม่แน่นอนที่ภาวะเงินเฟ้ออาจปรับตัวสูงขึ้นจากแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น
กลุ่มอาเซียน
-เศรษฐกิจสิงคโปร์เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวโดย Advance Estimate GDP ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ขยายตัวร้อยละ 7.7 (yoy) แต่หดตัวจากไตรมาสก่อนร้อยละ 2.3 (qoq,annualised) เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 12.5 (yoy) โดยทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการชะลอตัวตามภาคการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวขณะที่ภาคการก่อสร้างหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน เนื่องจากภาวะซบเซาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ทางการสิงคโปร์คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้ทั้งปีจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 8-9 และชะลอลงในปีหน้า จะขยายตัวร้อยละ 3-5
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2547 ธนาคารกลางสิงคโปร์ได้แถลงนโยบายการเงินว่าจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อเนื่องจากที่ได้เคยแถลงไว้ในเดือนเมษายน โดยจะให้ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าค่อยๆ แข็งค่าขึ้นทีละน้อย (modest and gradual appreciation of the Singapore dollar nominal effective exchange rate) เพื่อดูแลเสถียรภาพของระดับราคาที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยจะดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับไม่เกินร้อยละ 2 ในปีนี้และปีหน้า ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในช่วง 9 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.4 (yoy)และล่าสุดในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 2.0 (yoy) จากราคาอาหารและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น
-เศรษฐกิจมาเลเซียยังมีแนวนโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง การบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านการลงทุนยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 10.6 ในเดือนสิงหาคม สำหรับการส่งออกล่าสุดในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 23.7(yoy)ชะลอลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 28.1 (yoy)ในเดือนกรกฎาคม โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 1.6 ในเดือนกันยายนจากร้อยละ 1.4 ในเดือนสิงหาคม แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ
-เศรษฐกิจอินโดนีเซียค่อนข้างทรงตัว โดยอุปสงค์ภายในประเทศค่อนข้างทรงตัว และภาคการส่งออกค่อยๆ ฟื้นตัว ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงต่อไปจากการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น การชะลอตัวของภาคการส่งออกตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นจากราคาสินค้าในหมวดอาหารในช่วงปลายปีเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 6.3 (yoy)เทียบกับอัตราเงินเฟ้อเมื่อปลายปี 2546 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.1
นอกจากนี้ ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการของการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียในรอบตัดสินเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2547 ระบุว่า นาย Susilo Bambang Yudhoyono ได้รับชัยชนะเหนือนาง Megawati ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 61 ต่อ 39 โดยนาย Yudhoyono ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย พร้อมทั้งได้แต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา และมีวาระอยู่ในตำแหน่ง 5 ปี
-แม้ว่าเศรฐกิจฟิลิปปินส์ในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคการส่งออก แต่แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปี หลังคาดว่าจะชะลอลง จากผลของราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นหลัก ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 (yoy)เทียบกับร้อยละ 6.3 (yoy) ในเดือนสิงหาคม และนับเป็นระดับเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีอีกด้วย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าบริการต่างๆ และราคาอาหารในประเทศที่สูงขึ้นจากปัญหาภัยแล้งเป็นหลัก อย่างไรก็ดีธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight policy rate) ไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเปราะบางอยู่มาก กอปรกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลจากด้านอุปทานเป็นหลัก
สำหรับการส่งออกของฟิลิปปินส์มีแนวโน้มชะลอลงในระยะถัดไป ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โลกที่เริ่มชะลอตัวอีกครั้งรวมทั้งการแข่งขันจากประเทศจีนที่รุนแรงมากขึ้นซึ่งปัจจัยดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของฟิลิปปินส์
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
สหรัฐอเมริกา
-เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มขยายตัวแต่คาดว่าจะเป็นในลักษณะ moderate เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับลดลง ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง ทั้งนี้ IMF ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าลงจากร้อยละ 4.6 และ 3.9 เป็นร้อยละ 4.3 และ 3.5 ตามลำดับ
ในด้านอุปสงค์ ยอดค้าปลีก (retail sales) ล่าสุดในเดือนสิงหาคมลดลงร้อยละ 0.3 (mom) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 (yoy) ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากการปรับลดลงของยอดขายรถยนต์ และยอดขายในห้างสรรพสินค้า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นที่จัดทำโดย University of Michigan ในเดือนตุลาคมปรับตัวลดลงมา อยู่ที่ระดับ 87.5 เทียบกับระดับ 94.2 ในเดือนก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและการจ้างงานที่ยังเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ในด้านอุปทาน การผลิตในภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยขยายตัวร้อยละ 4.6 (yoy)เนื่องจากผลของพายุเฮอริเคนที่ทำให้การผลิตในหมวดพลังงานชะลอตัวลง ในขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 77.2 เท่ากับในเดือนก่อน
นอกจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อการชะลอตัวของการใช้จ่ายแล้วยังส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสูงขึ้น โดยล่าสุดในเดือนสิงหาคมขาดดุล 54 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.9 (yoy) ในขณะที่ราคาสินค้านำเข้าปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ราคาอาหารและราคาวัตถุดิบด้านอุตสาหกรรม
สำหรับงบประมาณประจำปี 2547 (สิ้นสุด 30 กันยายน 2547) ยังคงขาดดุลสูงอยู่ที่ระดับ 412.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (ร้อยละ 3.6 ของ GDP) ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในประวัติการณ์ อันเป็นผลจากสงครามอิรักและรายจ่ายด้านการรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น
กลุ่มประเทศยูโร
เศรษฐกิจยูโรโซนในช่วงที่ผ่านมายังคงฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่เกิดจาก Second round effect ของราคาน้ำมันที่มีต่อการเรียกร้องค่าจ้าง (wage presure) ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งทำให้ ECB เชื่อว่าแนวโน้มเงินเฟ้อยังคงสอดคล้องกับเสถียรภาพของราคาในระยะปานกลาง ขณะเดียวกันนาย Trichet ประธาน ECB ได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งทางด้านการปฏิรูปนโยบายการคลัง การปฏิรูปโครงสร้างตลาดแรงงาน และการปฏิรูประบบประกันสังคมในยุโรป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก และทำให้ตลาดแรงงานมีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Productivity ให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม
สำหรับอัตราเงินเฟ้อ HICP ของกลุ่มประเทศยูโรโซนล่าสุดในเดือนกันยายน 2547 ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 (yoy) และเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินยูโรในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งช่วยผ่อนคลายแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในระยะสั้น ซึ่ง ECB เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ในปีหน้า
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมหดตัวร้อยละ 0.6 (mom) หรือขยายตัวร้อยละ 1.5 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 0.2 (mom) หรือขยายตัวร้อยละ 2.2 (yoy) โดยเป็นผลจากการหดตัวของผลผลิตในสินค้าบริโภคคงทน (Durable consumer goods) และการลดลงของการผลิตในภาคพลังงาน ขณะที่การผลิตสินค้า non-durable consumer goods ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย
สำหรับดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมล่าสุดในเดือนกันยายนชะลอลงมาอยู่ที่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 7 เดือนที่ 53.1 จากเดือนก่อนหน้าที่ 53.9 อันเป็นผลจากความไม่มั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งภายในกลุ่มยูโรโซน และเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ดัชนีดังกล่าวยังคงชี้ถึงการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 ขณะเดียวกันดัชนี PMI ภาคบริการก็ชะลอลงเช่นกัน โดยอยู่ที่ 53.3 จากเดือนก่อนที่ 54.5
ญี่ปุ่น
เครื่องชี้กิจกรรมเศรษฐกิจญี่ปุ่นบางตัว อาทิการผลิตภาคอุตสาหกรรม และ คำสั่งซื้อเครื่องจักรส่งสัญญาณว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 อาจไม่ได้แข็งแกร่งมากเหมือนกับช่วงครึ่งปีแรกนอกจากนี้ ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในระยะต่อไป คือ 1) แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของญี่ปุ่น และ2) การที่ญี่ปุ่นมีการสะสม inventory มากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี หากมี inventory correction จะมีความเสี่ยงที่การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจชะลอลง
ล่าสุดการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 9.4 (yoy) คำสั่งซื้อเครื่องจักรขยายตัวร้อยละ 5.4 (yoy) ส่วนการส่งออกในเดือนกันยายนขยายตัวร้อยละ 12.5 (yoy) อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มว่าการขยายตัวด้านการส่งออกได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว (การส่งออกลดลงร้อยละ 2.3 (mom) จากเดือนสิงหาคม)
ทั้งนี้ ผลสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการ (Tankan) ของธนาคารกลางญี่ป่นในเดือนกันยายน 2547 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนทั้งในส่วนบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก โดยดัชนีของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ปรับตัวจาก 22 มาอยู่ที่ 26 อย่างไรก็ดี บริษัทต่างๆ เริ่มมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับแนวโน้มของเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม
กลุ่มเอเชียตะวันออก
-เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 9.1 (yoy) โดยชะลอลงจากร้อยละ 9.8 และ 9.6 ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 ตามลำดับ ซึ่งการดำเนินมาตรการควบคุมสินเชื่อตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้ ได้ช่วยชะลอการลงทุนที่ขยายตัวในระดับสูงลงบ้าง โดยการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 9 เดือนแรก ขยายตัวร้อยละ 27.7 (yoy) สำหรับการบริโภคของประชาชนซึ่งสะท้อนจากยอดค้าปลีกในช่วง 9 เดือนแรกยังขยายตัวดีที่ร้อยละ 13.0 สำหรับ อัตราเงินเฟ้อ 9 เดือนแรกอยู่ที่ร้อยละ 4.1 และล่าสุดเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 5.2 ลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย
ภาคต่างประเทศของจีนยังอยู่ในภาวะแข็งแกร่งการส่งออกเดือนกันยายนขยายตัวร้อยละ 33.1 (yoy) ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 37.4 ขณะที่การนำเข้าชะลอลงมากมาอยู่ที่ร้อยละ 22.1 เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 35.5 ปัจจัยที่ทำให้การนำเข้าชะลอลงมากส่วนหนึ่งมาจากฐานสูงในปีก่อน
การออกมาตรการชะลอเศรษฐกิจของทางการจีนไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศทำให้การลงทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้าจีนอย่างต่อเนื่องและการลงทุนจริง (FDI) ช่วง 9 เดือนแรกมีมูลค่ารวม 48.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.การค้าและการลงทุนจากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 514.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนกันยายน
ปริมาณสินเชื่อของจีนชะลอลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 13.6 (yoy) ในเดือนกันยายน เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 14.1 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งธนาคารกลางจีนมีความเห็นว่าอยู่ในภาวะแข็งแกร่งและปรับตัวดีขึ้นนอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์มีการให้สินเชื่อระยะสั้นเพิ่มขึ้น จึงอาจช่วยผ่อนคลายความตึงตัวของภาคธุรกิจที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน สำหรับปริมาณเงิน M2 ขยายตัวร้อยละ 13.9 ในเดือนกันยายนสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 13.6 อย่างไรก็ตามการขยายตัวของปริมาณเงิน M2 ยังคงต่ำกว่าเป้าที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ที่ร้อยละ 17
-เศรษฐกิจไต้หวันยังอยู่ในเกณฑ์ดี อนึ่ง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการควบคุมเศรษฐกิจของจีนอาจเป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจไต้หวันชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี ปัจจุบันไต้หวันได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อมากขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 2.8 เนื่องจากอาหารมีราคาสูงขึ้นจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ทำให้เกิดน้ำท่วมในเดือนกันยายน สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับไม่สูงนักที่ร้อยละ 1.0
-ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่แท้จริงของไต้หวันอยู่ในช่วงติดลบ นอกจากนี้ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์ สรอ.และดอลลาร์ไต้หวันเริ่มเพิ่มมากขึ้น ทำให้ชาวไต้หวันหันไปลงทุนในตราสารต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ธนาคารกลางไต้หวันประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน rediscount rate ร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.375 เป็นร้อยละ 1.625 โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2547 การปรับขึ้นครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 ปี พร้อมนี้ธนาคารกลางไต้หวันได้เริ่มปรับนโยบายเงินแบบผ่อนคลายมาตลอดในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยที่ปรับแล้วยังอยู่ในระดับต่ำจึงยังคงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่
-อัตราเงินเฟ้อฮ่องกงในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 0.7(yoy) เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ทำให้ระดับราคาในฮ่องกงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ อัตราค่าเช่าร้านค้าปลีก (retail rental rates) ซึ่งมีน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อถึงร้อยละ 20.9 ยังขยายตัวสูงโดยล่าสุดในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 10.2 (yoy) ในขณะเดียวกัน การบริโภคในประเทศยังคงขยายตัวต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีต่อเนื่อง โดยในเดือนสิงหาคมจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงขยายตัวสูงที่ร้อยละ 25.6 (yoy) ทั้งนี้ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 22 ของยอดค้าปลีก นอกจากนี้ ภาวะการจ้างที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งในส่วนของอัตราค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น และอัตราการว่างงานที่ลดลงก็เป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการบริโภคในประเทศต่อไป
อย่างไรก็ดี การส่งออกได้เริ่มมีสัญญาณชะลอลงโดยล่าสุดในเดือนกันยายนขยายตัวเพียงร้อยละ 14.1 (yoy) ชะลอลงจากเดือนสิงหาคมที่ขยายตัวร้อยละ 20.9 (yoy)
-เศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังมีปัจจัยผลักดันที่สำคัญจากการส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงร้อยละ 29.3 (yoy) ในเดือนกันยายนแม้ว่าจะชะลอลงจากร้อยละ 34.3 (yoy)ในเดือนสิงหาคม โดยภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดัคเตอร์ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงในการส่งออกทั้งหมดประมาณร้อยละ 35.2 และ 10.1 ตามลำดับ ยังขยายตัวในระดับสูง สำหรับการบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศยังคงซบเซา แม้ว่า Consumer confidence index จะปรับเพิ่มขึ้นจาก 87 ในเดือนสิงหาคม เป็น 88.9 ในเดือนกันยายน แต่ยังต่ำกว่า 100 ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ ในด้านแนวโน้มการลงทุน Business sentiment index ปรับตัวสูงขึ้นจาก 87.1 ในเดือนสิงหาคม เป็น 99.2 ในเดือนกันยายน เช่นกัน
สำหรับอัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนปรับตัวลดลงค่อนข้างมากเหลือร้อยละ 3.9 (yoy) จากร้อยละ 4.8 (yoy) ในเดือนสิงหาคม เนื่องจากราคาอาหารที่ปรับลดลงหลังจากได้เพิ่มสูงขึ้นมากในเดือนก่อนจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่น อนึ่ง ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 3.5 ในการประชุมในเดือนตุลาคมแทนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยให้เหตุผลสำคัญเนื่องจากความไม่แน่นอนที่ภาวะเงินเฟ้ออาจปรับตัวสูงขึ้นจากแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น
กลุ่มอาเซียน
-เศรษฐกิจสิงคโปร์เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวโดย Advance Estimate GDP ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ขยายตัวร้อยละ 7.7 (yoy) แต่หดตัวจากไตรมาสก่อนร้อยละ 2.3 (qoq,annualised) เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 12.5 (yoy) โดยทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการชะลอตัวตามภาคการส่งออกที่เริ่มชะลอตัวขณะที่ภาคการก่อสร้างหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน เนื่องจากภาวะซบเซาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ทางการสิงคโปร์คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้ทั้งปีจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 8-9 และชะลอลงในปีหน้า จะขยายตัวร้อยละ 3-5
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2547 ธนาคารกลางสิงคโปร์ได้แถลงนโยบายการเงินว่าจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อเนื่องจากที่ได้เคยแถลงไว้ในเดือนเมษายน โดยจะให้ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าค่อยๆ แข็งค่าขึ้นทีละน้อย (modest and gradual appreciation of the Singapore dollar nominal effective exchange rate) เพื่อดูแลเสถียรภาพของระดับราคาที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยจะดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับไม่เกินร้อยละ 2 ในปีนี้และปีหน้า ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในช่วง 9 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.4 (yoy)และล่าสุดในเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 2.0 (yoy) จากราคาอาหารและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น
-เศรษฐกิจมาเลเซียยังมีแนวนโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง การบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านการลงทุนยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 10.6 ในเดือนสิงหาคม สำหรับการส่งออกล่าสุดในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 23.7(yoy)ชะลอลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 28.1 (yoy)ในเดือนกรกฎาคม โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 1.6 ในเดือนกันยายนจากร้อยละ 1.4 ในเดือนสิงหาคม แต่ยังอยู่ในระดับต่ำ
-เศรษฐกิจอินโดนีเซียค่อนข้างทรงตัว โดยอุปสงค์ภายในประเทศค่อนข้างทรงตัว และภาคการส่งออกค่อยๆ ฟื้นตัว ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงต่อไปจากการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น การชะลอตัวของภาคการส่งออกตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นจากราคาสินค้าในหมวดอาหารในช่วงปลายปีเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 6.3 (yoy)เทียบกับอัตราเงินเฟ้อเมื่อปลายปี 2546 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.1
นอกจากนี้ ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการของการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียในรอบตัดสินเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2547 ระบุว่า นาย Susilo Bambang Yudhoyono ได้รับชัยชนะเหนือนาง Megawati ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 61 ต่อ 39 โดยนาย Yudhoyono ได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย พร้อมทั้งได้แต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา และมีวาระอยู่ในตำแหน่ง 5 ปี
-แม้ว่าเศรฐกิจฟิลิปปินส์ในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคการส่งออก แต่แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปี หลังคาดว่าจะชะลอลง จากผลของราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นหลัก ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 (yoy)เทียบกับร้อยละ 6.3 (yoy) ในเดือนสิงหาคม และนับเป็นระดับเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีอีกด้วย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน การปรับขึ้นค่าบริการต่างๆ และราคาอาหารในประเทศที่สูงขึ้นจากปัญหาภัยแล้งเป็นหลัก อย่างไรก็ดีธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight policy rate) ไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเปราะบางอยู่มาก กอปรกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลจากด้านอุปทานเป็นหลัก
สำหรับการส่งออกของฟิลิปปินส์มีแนวโน้มชะลอลงในระยะถัดไป ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โลกที่เริ่มชะลอตัวอีกครั้งรวมทั้งการแข่งขันจากประเทศจีนที่รุนแรงมากขึ้นซึ่งปัจจัยดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของฟิลิปปินส์
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--