นับตั้งแต่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้เริ่มก่อตัวขึ้น เมี่อปี 2504 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นลำดับ ซึ่งในปี 2548 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสามารถผลิตรถยนต์ได้เกิน 1 ล้านคันต่อปี เป็นปีแรก ดังนั้น เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดงาน “ล้านคันยานยนต์ไทยสู่เวทีโลก” (Thai Auto : A One Million Milestone) โดยในงานมีกิจกรรมพิเศษ ได้แก่ การจัดงานเรียลไทม์(real time) เพื่อร่วมฉลองวันที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยสามารถผลิตรถยนต์ครบ 1 ล้านคัน และเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 ประเทศไทยได้จัดงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงานดังกล่าว ซึ่งนอกจากเป็นสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่สามารถสร้างรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศจากการส่งออก 3.3 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศ 3 แสนคน สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศกว่า 3 แสนล้านบาท ยังส่งผลให้ประเทศไทยมีลำดับในฐานะประเทศผู้ผลิตรถยนต์สูงขึ้นจากลำดับที่ 15 มาเป็นลำดับที่ 14 ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำอย่างประเทศอิตาลี อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งนับว่าเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่แสดงถึงความพร้อมในการก้าวสู่การเป็น “Detroit of Asia”
อุตสาหกรรมรถยนต์
ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ของประเทศไทยในปี 2548 มีจำนวน 1,125,316 คัน และ 703,437 คัน ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 21.25 และ 12.36 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.62 แต่รถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 8.80 และ 3.58 ตามลำดับ ในส่วนการจำหน่ายรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.31 แต่รถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 9.96 และ 5.23 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.02 และ 6.16 ตามลำดับ และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สามของปีเดียวกัน ทั้งปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.37 และ 25.09 ตามลำดับ
จากการขยายตัวทั้งการผลิตและการจำหน่ายของอุตสาหกรรมรถยนต์เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ปัจจัยบวกส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ประกอบการสามารถผลิตและนำเสนอสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งเบนซิน และดีเซล จะยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้น ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ในภาพรวมมากนัก แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ในแต่ละประเภทมากกว่า ซึ่งเห็นได้จากปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์นั่งในปีนี้ลดลงจากปีที่ผ่านมา เพราะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันเบนซินที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับ ไม่ค่อยมีการนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด แต่สำหรับรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน มีปริมาณการผลิตและการจำหน่าย ขยายตัวในอัตราที่มากขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้บริโภค และเป็นรถยนต์ที่มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์ สำหรับโครงสร้างตลาดของรถยนต์ในประเทศปี 2548 รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดคือ ร้อยละ 66.77 รองลงมาเป็นรถยนต์นั่ง ร้อยละ 26.75 และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ร้อยละ 6.48 และหากเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา รถยนต์ปิกอัพ 1 ตันมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น แต่รถยนต์นั่งและรถเพื่อการพาณิชย์อื่นๆ มีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง (โครงสร้างตลาดในปี 2547 ของรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน : รถยนต์นั่ง : รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ คือ ร้อยละ 58.93 : 33.39 : 7.68)
ในด้านการส่งออกรถยนต์ของไทยในปี 2548 มีปริมาณการส่งออกรถยนต์ (CBU) จำนวน 440,715 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 32.72 คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 203,025.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.05 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนปริมาณการส่งออกต่อปริมาณการผลิตคิดเป็นร้อยละ 39.16 เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่มีสัดส่วนปริมาณการส่งออกต่อปริมาณการผลิตร้อยละ 35.78 ทั้งนี้ ปริมาณการส่งออกรถยนต์ (CBU) ในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 มีจำนวน 128,980 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 34.45 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 57,509.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.32 และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สามของปีเดียวกัน มีปริมาณการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.99 คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.91 จากข้อมูลข้างต้น การผลิตและการส่งออกรถยนต์ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการส่งออกรถยนต์ปิกอัพ 1ตัน จากฐานการผลิตในประเทศไทยเป็นสำคัญ และในปี 2549 นี้ นิสสันจะย้ายฐานการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้มีการผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้นอีกในช่วงปลายปีนี้ ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถยนต์นั่งจากประเทศไทยในปี 2548 ได้แก่ อินโดนีเชีย และออสเตรเลีย โดยมีการขยายตัวจากปี 2547 ประมาณร้อยละ 11.64 และ 256.25 ตามลำดับ และมีตลาดส่งออกที่น่าสนใจ คือ ซาอุดีอาระเบีย โอมาน และคูเวต ซึ่งมีการขยายตัวสูงมาก ตลาดส่งออกรถแวนและปิกอัพที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย มีการขยายตัวประมาณร้อยละ 71.90 และมีตลาดส่งออกที่น่าสนใจ คือ นิวซีแลนด์ และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 106.62 และ 80.08 ตลาดส่งออกรถบัสและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย มีการขยายตัว ประมาณร้อยละ 19.10
สำหรับการนำเข้ารถยนต์ของไทยในปี 2548 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งคิดเป็นมูลค่า 13,466.5 ล้านบาท ลดลงจากปี 2547 ร้อยละ 10.30 แต่มีการนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกคิดเป็นมูลค่า 10,992.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 69.44 เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มีการนำเข้ารถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.21 และ 54.73 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สามของปีเดียวกัน มีมูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.48 และ 17.02 ตามลำดับ ซึ่งแหล่งนำเข้ารถยนต์นั่งของไทยที่สำคัญในปี 2548 ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย แหล่งนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกของไทยที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สำหรับข้อมูลจากกรมศุลกากร ซึ่งได้รายงานผลการนำเข้ารถยนต์นั่ง ที่ผ่านพิธีการศุลกากร ณ สำนักงานศุลกากรแหลมฉบัง, สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ, สำนักงานศุลกากรนำเข้าท่าเรือกรุงเทพ, สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ ปรากฏว่า ปี 2548 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งรวมจำนวน 24,711 คัน โดยแบ่งเป็น รถยนต์ของค่ายญี่ปุ่น 16,162 คัน รถยนต์ของค่ายเกาหลี 4,867 คัน รถยนต์ของค่ายยุโรป 3,636 คัน และรถยนต์ของค่ายสหรัฐอเมริกา 46 คัน
ในปี 2549 อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการผลิต การจำหน่าย และการส่งออก เนื่องจากเศษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันสูง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จะยังคงเป็นปัจจัยด้านลบที่สำคัญ แต่เนื่องจากยานยนต์เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวัน และผู้ผลิตสามารถเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่เน้นการประหยัดน้ำมัน โดยในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน ยังอยู่ในช่วงของการย้ายฐานการผลิตจากญี่ปุ่นมายังไทย ทำให้มีการผลิตและส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น สำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน ซึ่งมีทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ และการเปลี่ยน Model ใหม่ ที่เป็นไปตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น ในส่วนของรถยนต์นั่งจะมีการขยายตัว เพราะจะมีรถรุ่นใหม่มาสู่ตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์นั่งรุ่นที่มีเครื่องยนต์ขนาดน้อยกว่า 2.0 ลิตร ยังคงเป็นที่นิยมของผู้บริโภค เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนด้านราคาและการประหยัดพลังงาน จึงเป็นไปได้ว่าในปี 2549 นี้ จะมีการผลิตรถยนต์ 1.28 ล้านคัน มีการจำหน่ายในประเทศ 0.77 ล้านคัน และส่งออก 0.54 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 13.75 , 9.46 และ 22.53 ตามลำดับ ทั้งนี้ จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกร้อยละ 42.19
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
ปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ของไทยในปี 2548 มีจำนวน 2,358,511 คัน ลดลงจากปี 2547 ร้อยละ 22.11 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 มีการผลิต 621,543 คัน เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ลดลงร้อยละ 29.73 การลดลงอย่างฉับพลันของปริมาณการผลิตนี้ มีสาเหตุสำคัญมาจากการที่สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บข้อมูล โดยข้อมูลการผลิตรถจักรยานยนต์ของปีที่ผ่านมาจนถึงปีในปี 2547 ได้รวม CBU และ CKD ไว้ด้วยกัน แต่ในปี 2548 จัดเก็บเฉพาะ CBU เท่านั้น จึงทำให้การเปรียบเทียบข้อมูลการผลิตรถจักรยานยนต์ทั้งสองช่วงเวลาดังกล่าวไม่สะท้อนภาวการณ์การผลิตที่แท้จริง หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามของปี 2548 มีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.48 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.53 และ 41.28 ตามลำดับ
สำหรับการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของไทยในปี 2548 มีจำนวน 2,108,078 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 3.65 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.52 และ 19.89 ตามลำดับ สัดส่วนปริมาณการจำหน่ายในประเทศต่อปริมาณการผลิตของรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 92.16 ส่วนรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.29 ซึ่งรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึงร้อยละ 99(แยกเป็นแบบครอบครัว ร้อยละ 78 แบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต ร้อยละ 6 และแบบสกู๊ตเตอร์ ร้อยละ 15) เนื่องจากมีความได้เปรียบด้านราคาและการประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตจะไม่เป็นที่นิยมของตลาดในประเทศมากนัก แต่สำหรับตลาดส่งออกแล้ว เป็นที่ต้องการมากขึ้น เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.97 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.73 และ 35.00 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามของปี 2548 มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.46 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ต เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.43 และ 15.72 ตามลำดับ
ด้านการส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในปี 2548 มีปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) จำนวน 1,337,586 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 60.91 โดยคิดเป็นมูลค่า 22,768.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.56 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.77 และคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.24 ทั้งนี้ เพราะความต้องการจากตลาดต่างประเทศมีมากขึ้น ทั้งในตลาดสหรัฐอเมริกา, อาเซียน, ญี่ปุ่น และยุโรป เนื่องจากรถจักรยานยนต์ไทยยังคงมีความได้เปรียบในเรื่องของคุณภาพและราคา เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามของปี 2548 ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.96 โดยคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.26 สำหรับประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถจักรยานยนต์จากประเทศไทยในปี 2548 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 21.67, 277.73 และ 37.07 ตามลำดับ
สำหรับการนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยในปี 2548 เปรียบเทียบกับปี 2547 มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.62 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.72 หากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สามของปี 2548 แล้ว มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.40 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยที่สำคัญในปี 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ในปี 2548 มีการขยายตัวเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าในช่วงต้นปีประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้ง ภาวะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคบางส่วน นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูฝนที่ประสบภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ประกอบกับ สภาวะราคาน้ำมันยังคงสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ดี สำหรับการส่งออกรถจักรยานยนต์ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกในอาเซียนมีการขยายตัวสูงมาก
ประมาณการภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทยในปี 2549 จะมีการขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจาก ปัจจุบันการครอบครองรถจักรยานยนต์ในประเทศมีอัตราสูง ซึ่งจากการประมาณโดยใช้ข้อมูลการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกรมการขนส่งทางบกมาประกอบการพิจารณา ปรากฎว่า ประเทศไทยมีอัตราการครอบครองรถจักรยานยนต์ประมาณ 1 คันต่อ 4 คน ใกล้เคียงกับประเทศที่มีอัตราการครอบครองสูงสุด คือ ไต้หวัน (รถจักรยานยนต์ 1 คันต่อ 2 คน) ดังนั้น การขยายตัวของตลาดในประเทศจะไม่มาก และในปี 2549 นี้ ผู้บริโภคยังคงนิยมรถจักรยานยนต์ราคาประหยัดอยู่ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 70-75 และมีกลุ่มลูกค้าใหม่ที่นิยมรถจักรยานยนต์ที่เน้นความสะดวกสบาย ในรูปแบบของรถเกียร์อัตโนมัติซึ่งกลุ่มนี้มีประมาณร้อยละ 10-15 ของตลาด มีการแข่งขันในตลาดสูง แต่ละค่ายได้เร่งพัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด และการเข้าถึงตัวผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด จึงคาดได้ว่า ในปี 2549 จะมีการผลิตรถจักรยานยนต์ ประมาณ 2.40 ล้านคัน การจำหน่ายในประเทศ 2.20 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 1.76 และ 4.36 ตามลำดับ
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
ในปี 2548 การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) มีมูลค่า 76,790.69 ล้านบาท และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ มีมูลค่า 4,100.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 75.03 และ 40.94 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) มีมูลค่า 11,428.22 ล้านบาท และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่า 729.56 ล้านบาท ลดลงจากปี 2547 ร้อยละ 14.42 และ 65.25 ตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจากในปี 2548 การส่งออกส่วนประกอบและชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของไทยได้รับผลกระทบจากการที่จีนได้มีการปรับเป้าหมายที่จะส่งออกชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ให้เร็วขึ้น จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 10 ปี เป็นภายใน 5 ปี โดยในปี 2548 จีนได้เริ่มมีการผลิตอะไหล่รถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น ส่งออกเพิ่มขึ้น โดยได้มีการส่งออกเข้าไปยังตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ด้วย นอกจากนี้ จีนยังลดการนำเข้าอะไหล่รถจักรยานยนต์ด้วย ซึ่งจากเหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ทั่วโลก
เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 168.72 และ 38.04 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.83 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 79.10 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามของปี 2548 มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ลดลงร้อยละ 7.95 และ 2.08 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) ลดลงร้อยละ 9.32 และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ ลดลงร้อยละ 11.41 ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์จากประเทศไทยปี 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 8.46, 73.27 และ 67.28 ตามลำดับ ส่วนประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ ได้แก่ อินโดนีเซีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 57.96, 28.78 และ 47.34 ตามลำดับ
จากข้อมูลการขยายตัวของการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ในปี 2548 ข้างต้น ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ในปี 2548 ขยายตัวมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการได้ขยายการลงทุนและมีการผลิตเพื่อการส่งออกตามการขยายตัวของการส่งออกรถยนต์ ซึ่งในปี 2549 คาดว่าจะมีการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการหลายราย ได้มีแผนที่จะส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์จากไทยไปยังฐานการผลิตในประเทศต่างๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ ผู้ผลิตไทยต้องมีการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับจีน ด้วยการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เทียบเท่าหรือสูงกว่ามาตรฐานสากล ซึ่งในขณะนี้ ภาครัฐและเอกชนกำลังเร่งดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานของไทย โดยใช้แนวทางของ ECE เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และคุ้มครองผู้บริโภคจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วนที่นำเข้าด้วย
ด้านการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ในปี 2548 มีมูลค่า 129,319.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 7.17 สำหรับการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มี มูลค่า 6,036.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.25 และเมื่อพิจารณาไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.60 การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ รถจักรยานยนต์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.44 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามปี 2548 มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ลดลง ร้อยละ 6.66 ส่วนการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.96 ซึ่งแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ของไทยที่สำคัญในปี 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น และแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน และอินโดนีเชีย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
อุตสาหกรรมรถยนต์
ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ของประเทศไทยในปี 2548 มีจำนวน 1,125,316 คัน และ 703,437 คัน ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 21.25 และ 12.36 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.62 แต่รถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 8.80 และ 3.58 ตามลำดับ ในส่วนการจำหน่ายรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.31 แต่รถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ลดลงร้อยละ 9.96 และ 5.23 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.02 และ 6.16 ตามลำดับ และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สามของปีเดียวกัน ทั้งปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.37 และ 25.09 ตามลำดับ
จากการขยายตัวทั้งการผลิตและการจำหน่ายของอุตสาหกรรมรถยนต์เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ปัจจัยบวกส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ประกอบการสามารถผลิตและนำเสนอสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งเบนซิน และดีเซล จะยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้น ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ในภาพรวมมากนัก แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ในแต่ละประเภทมากกว่า ซึ่งเห็นได้จากปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์นั่งในปีนี้ลดลงจากปีที่ผ่านมา เพราะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันเบนซินที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับ ไม่ค่อยมีการนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด แต่สำหรับรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน มีปริมาณการผลิตและการจำหน่าย ขยายตัวในอัตราที่มากขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้บริโภค และเป็นรถยนต์ที่มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์ สำหรับโครงสร้างตลาดของรถยนต์ในประเทศปี 2548 รถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดคือ ร้อยละ 66.77 รองลงมาเป็นรถยนต์นั่ง ร้อยละ 26.75 และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ร้อยละ 6.48 และหากเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา รถยนต์ปิกอัพ 1 ตันมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น แต่รถยนต์นั่งและรถเพื่อการพาณิชย์อื่นๆ มีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง (โครงสร้างตลาดในปี 2547 ของรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน : รถยนต์นั่ง : รถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ คือ ร้อยละ 58.93 : 33.39 : 7.68)
ในด้านการส่งออกรถยนต์ของไทยในปี 2548 มีปริมาณการส่งออกรถยนต์ (CBU) จำนวน 440,715 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 32.72 คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 203,025.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.05 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนปริมาณการส่งออกต่อปริมาณการผลิตคิดเป็นร้อยละ 39.16 เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่มีสัดส่วนปริมาณการส่งออกต่อปริมาณการผลิตร้อยละ 35.78 ทั้งนี้ ปริมาณการส่งออกรถยนต์ (CBU) ในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 มีจำนวน 128,980 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 34.45 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 57,509.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.32 และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สามของปีเดียวกัน มีปริมาณการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.99 คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.91 จากข้อมูลข้างต้น การผลิตและการส่งออกรถยนต์ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการส่งออกรถยนต์ปิกอัพ 1ตัน จากฐานการผลิตในประเทศไทยเป็นสำคัญ และในปี 2549 นี้ นิสสันจะย้ายฐานการผลิตรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน เข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้มีการผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้นอีกในช่วงปลายปีนี้ ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถยนต์นั่งจากประเทศไทยในปี 2548 ได้แก่ อินโดนีเชีย และออสเตรเลีย โดยมีการขยายตัวจากปี 2547 ประมาณร้อยละ 11.64 และ 256.25 ตามลำดับ และมีตลาดส่งออกที่น่าสนใจ คือ ซาอุดีอาระเบีย โอมาน และคูเวต ซึ่งมีการขยายตัวสูงมาก ตลาดส่งออกรถแวนและปิกอัพที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย มีการขยายตัวประมาณร้อยละ 71.90 และมีตลาดส่งออกที่น่าสนใจ คือ นิวซีแลนด์ และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 106.62 และ 80.08 ตลาดส่งออกรถบัสและรถบรรทุกที่สำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย มีการขยายตัว ประมาณร้อยละ 19.10
สำหรับการนำเข้ารถยนต์ของไทยในปี 2548 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งคิดเป็นมูลค่า 13,466.5 ล้านบาท ลดลงจากปี 2547 ร้อยละ 10.30 แต่มีการนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกคิดเป็นมูลค่า 10,992.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 69.44 เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มีการนำเข้ารถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.21 และ 54.73 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สามของปีเดียวกัน มีมูลค่าการนำเข้ารถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.48 และ 17.02 ตามลำดับ ซึ่งแหล่งนำเข้ารถยนต์นั่งของไทยที่สำคัญในปี 2548 ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย แหล่งนำเข้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกของไทยที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สำหรับข้อมูลจากกรมศุลกากร ซึ่งได้รายงานผลการนำเข้ารถยนต์นั่ง ที่ผ่านพิธีการศุลกากร ณ สำนักงานศุลกากรแหลมฉบัง, สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ, สำนักงานศุลกากรนำเข้าท่าเรือกรุงเทพ, สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ ปรากฏว่า ปี 2548 มีการนำเข้ารถยนต์นั่งรวมจำนวน 24,711 คัน โดยแบ่งเป็น รถยนต์ของค่ายญี่ปุ่น 16,162 คัน รถยนต์ของค่ายเกาหลี 4,867 คัน รถยนต์ของค่ายยุโรป 3,636 คัน และรถยนต์ของค่ายสหรัฐอเมริกา 46 คัน
ในปี 2549 อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการผลิต การจำหน่าย และการส่งออก เนื่องจากเศษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันสูง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จะยังคงเป็นปัจจัยด้านลบที่สำคัญ แต่เนื่องจากยานยนต์เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวัน และผู้ผลิตสามารถเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่เน้นการประหยัดน้ำมัน โดยในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน ยังอยู่ในช่วงของการย้ายฐานการผลิตจากญี่ปุ่นมายังไทย ทำให้มีการผลิตและส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น สำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะรถยนต์ปิกอัพ 1 ตัน ซึ่งมีทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ และการเปลี่ยน Model ใหม่ ที่เป็นไปตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น ในส่วนของรถยนต์นั่งจะมีการขยายตัว เพราะจะมีรถรุ่นใหม่มาสู่ตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์นั่งรุ่นที่มีเครื่องยนต์ขนาดน้อยกว่า 2.0 ลิตร ยังคงเป็นที่นิยมของผู้บริโภค เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนด้านราคาและการประหยัดพลังงาน จึงเป็นไปได้ว่าในปี 2549 นี้ จะมีการผลิตรถยนต์ 1.28 ล้านคัน มีการจำหน่ายในประเทศ 0.77 ล้านคัน และส่งออก 0.54 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 13.75 , 9.46 และ 22.53 ตามลำดับ ทั้งนี้ จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกร้อยละ 42.19
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
ปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ของไทยในปี 2548 มีจำนวน 2,358,511 คัน ลดลงจากปี 2547 ร้อยละ 22.11 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 มีการผลิต 621,543 คัน เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ลดลงร้อยละ 29.73 การลดลงอย่างฉับพลันของปริมาณการผลิตนี้ มีสาเหตุสำคัญมาจากการที่สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บข้อมูล โดยข้อมูลการผลิตรถจักรยานยนต์ของปีที่ผ่านมาจนถึงปีในปี 2547 ได้รวม CBU และ CKD ไว้ด้วยกัน แต่ในปี 2548 จัดเก็บเฉพาะ CBU เท่านั้น จึงทำให้การเปรียบเทียบข้อมูลการผลิตรถจักรยานยนต์ทั้งสองช่วงเวลาดังกล่าวไม่สะท้อนภาวการณ์การผลิตที่แท้จริง หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามของปี 2548 มีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.48 โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.53 และ 41.28 ตามลำดับ
สำหรับการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของไทยในปี 2548 มีจำนวน 2,108,078 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 3.65 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.52 และ 19.89 ตามลำดับ สัดส่วนปริมาณการจำหน่ายในประเทศต่อปริมาณการผลิตของรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 92.16 ส่วนรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.29 ซึ่งรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึงร้อยละ 99(แยกเป็นแบบครอบครัว ร้อยละ 78 แบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต ร้อยละ 6 และแบบสกู๊ตเตอร์ ร้อยละ 15) เนื่องจากมีความได้เปรียบด้านราคาและการประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตจะไม่เป็นที่นิยมของตลาดในประเทศมากนัก แต่สำหรับตลาดส่งออกแล้ว เป็นที่ต้องการมากขึ้น เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.97 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.73 และ 35.00 ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามของปี 2548 มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.46 โดยมีการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสปอร์ต เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.43 และ 15.72 ตามลำดับ
ด้านการส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในปี 2548 มีปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) จำนวน 1,337,586 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 60.91 โดยคิดเป็นมูลค่า 22,768.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.56 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.77 และคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.24 ทั้งนี้ เพราะความต้องการจากตลาดต่างประเทศมีมากขึ้น ทั้งในตลาดสหรัฐอเมริกา, อาเซียน, ญี่ปุ่น และยุโรป เนื่องจากรถจักรยานยนต์ไทยยังคงมีความได้เปรียบในเรื่องของคุณภาพและราคา เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง หากเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามของปี 2548 ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.96 โดยคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.26 สำหรับประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของรถจักรยานยนต์จากประเทศไทยในปี 2548 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 21.67, 277.73 และ 37.07 ตามลำดับ
สำหรับการนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยในปี 2548 เปรียบเทียบกับปี 2547 มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.62 และเมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.72 หากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สามของปี 2548 แล้ว มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.40 ซึ่งแหล่งนำเข้ารถจักรยานยนต์ของไทยที่สำคัญในปี 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ในปี 2548 มีการขยายตัวเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าในช่วงต้นปีประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้ง ภาวะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคบางส่วน นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูฝนที่ประสบภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ประกอบกับ สภาวะราคาน้ำมันยังคงสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ดี สำหรับการส่งออกรถจักรยานยนต์ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดส่งออกในอาเซียนมีการขยายตัวสูงมาก
ประมาณการภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทยในปี 2549 จะมีการขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจาก ปัจจุบันการครอบครองรถจักรยานยนต์ในประเทศมีอัตราสูง ซึ่งจากการประมาณโดยใช้ข้อมูลการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกรมการขนส่งทางบกมาประกอบการพิจารณา ปรากฎว่า ประเทศไทยมีอัตราการครอบครองรถจักรยานยนต์ประมาณ 1 คันต่อ 4 คน ใกล้เคียงกับประเทศที่มีอัตราการครอบครองสูงสุด คือ ไต้หวัน (รถจักรยานยนต์ 1 คันต่อ 2 คน) ดังนั้น การขยายตัวของตลาดในประเทศจะไม่มาก และในปี 2549 นี้ ผู้บริโภคยังคงนิยมรถจักรยานยนต์ราคาประหยัดอยู่ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 70-75 และมีกลุ่มลูกค้าใหม่ที่นิยมรถจักรยานยนต์ที่เน้นความสะดวกสบาย ในรูปแบบของรถเกียร์อัตโนมัติซึ่งกลุ่มนี้มีประมาณร้อยละ 10-15 ของตลาด มีการแข่งขันในตลาดสูง แต่ละค่ายได้เร่งพัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด และการเข้าถึงตัวผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด จึงคาดได้ว่า ในปี 2549 จะมีการผลิตรถจักรยานยนต์ ประมาณ 2.40 ล้านคัน การจำหน่ายในประเทศ 2.20 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 1.76 และ 4.36 ตามลำดับ
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
ในปี 2548 การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) มีมูลค่า 76,790.69 ล้านบาท และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ มีมูลค่า 4,100.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 75.03 และ 40.94 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) มีมูลค่า 11,428.22 ล้านบาท และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่า 729.56 ล้านบาท ลดลงจากปี 2547 ร้อยละ 14.42 และ 65.25 ตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจากในปี 2548 การส่งออกส่วนประกอบและชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของไทยได้รับผลกระทบจากการที่จีนได้มีการปรับเป้าหมายที่จะส่งออกชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ให้เร็วขึ้น จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 10 ปี เป็นภายใน 5 ปี โดยในปี 2548 จีนได้เริ่มมีการผลิตอะไหล่รถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น ส่งออกเพิ่มขึ้น โดยได้มีการส่งออกเข้าไปยังตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ด้วย นอกจากนี้ จีนยังลดการนำเข้าอะไหล่รถจักรยานยนต์ด้วย ซึ่งจากเหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ทั่วโลก
เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 168.72 และ 38.04 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.83 แต่ชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ลดลงร้อยละ 79.10 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามของปี 2548 มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ลดลงร้อยละ 7.95 และ 2.08 ตามลำดับ สำหรับมูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์(OEM) ลดลงร้อยละ 9.32 และชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ ลดลงร้อยละ 11.41 ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์จากประเทศไทยปี 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 8.46, 73.27 และ 67.28 ตามลำดับ ส่วนประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ ได้แก่ อินโดนีเซีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 57.96, 28.78 และ 47.34 ตามลำดับ
จากข้อมูลการขยายตัวของการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ในปี 2548 ข้างต้น ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์(OEM) และชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ในปี 2548 ขยายตัวมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการได้ขยายการลงทุนและมีการผลิตเพื่อการส่งออกตามการขยายตัวของการส่งออกรถยนต์ ซึ่งในปี 2549 คาดว่าจะมีการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการหลายราย ได้มีแผนที่จะส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์จากไทยไปยังฐานการผลิตในประเทศต่างๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ ผู้ผลิตไทยต้องมีการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับจีน ด้วยการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เทียบเท่าหรือสูงกว่ามาตรฐานสากล ซึ่งในขณะนี้ ภาครัฐและเอกชนกำลังเร่งดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานของไทย โดยใช้แนวทางของ ECE เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และคุ้มครองผู้บริโภคจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วนที่นำเข้าด้วย
ด้านการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ในปี 2548 มีมูลค่า 129,319.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 7.17 สำหรับการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มี มูลค่า 6,036.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.25 และเมื่อพิจารณาไตรมาสที่สี่ของปี 2548 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.60 การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ รถจักรยานยนต์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.44 และเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสที่สี่กับไตรมาสที่สามปี 2548 มูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ลดลง ร้อยละ 6.66 ส่วนการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.96 ซึ่งแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ของไทยที่สำคัญในปี 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น และแหล่งนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน และอินโดนีเชีย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-