แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ยอดเอ็นพีแอลไตรมาส 2 ขยายตัวเพิ่มขึ้น รายงานข่าวจาก ธปท. เปิดเผยถึงยอดเอ็นพีแอลในไตรมาส 2 ปี 49 แยกตาม
ประเภทธุรกิจว่า ทั้งระบบมีเอ็นพีแอล 484,265 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.22 ต่อสินเชื่อรวม โดยถ้าดูสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมพบว่าเพิ่มขึ้นเกือบ
ทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการธนาคารและธุรกิจการเงินที่มีเอ็นพีแอล 14,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 93.89 เทียบกับไตรมาสก่อน และถ้า
คิดตามสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมจะอยู่ที่ร้อยละ 2.24 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 1.03 ส่วนภาคอื่น ๆ ที่สัดส่วนเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ได้แก่ ธุรกิจเหมืองแร่และย่อยหินมีเอ็นพีแอลคิดเป็นร้อยละ 15.67 ต่อสินเชื่อรวม ธุรกิจอุตสาหกรรม ร้อยละ 9.99 ธุรกิจสาธารณูปโภค
ร้อยละ 2.55 ธุรกิจบริการ ร้อยละ 8.54 ธุรกิจการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ร้อยละ 6.02 และธุรกิจอื่น ๆ ร้อยละ 0.99 ทั้งนี้ เมื่อดู
ยอดรวมการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอลทั้งระบบอยู่ที่ 71,670 ล้านบาท เร่งตัวจากไตรมาสก่อนที่เคยเพิ่มขึ้น 52,549 ล้านบาท แบ่งเป็นเอ็นพีแอล
เกิดขึ้นใหม่ 42,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,501 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.22 จากไตรมาสก่อน หนี้ที่เคยปรับปรุงโครงสร้างแล้วย้อนกลับมา
เป็นเอ็นพีแอลอีกครั้ง 22,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,418 ล้านบาท หรือร้อยละ 69.89 และเอ็นพีแอลจากเหตุอื่น ๆ 6,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
1,203 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.36 ขณะที่ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า จะดูเพียงยอดการ
เพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอลด้านเดียวไม่ได้ ต้องดูเอ็นพีแอลที่ลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม การที่ยอดการเพิ่มของเอ็นพีแอลเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
อาจจะสะท้อนว่าเศรษฐกิจไม่ดีก็ได้ (เดลินิวส์)
2. ธปท. คาดว่าจะสามารถสรุปผลการขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์รายย่อยได้ภายในสิ้นปีนี้ นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค
ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการขอยกระดับสถานะของ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ มาเป็น ธ.พาณิชย์เพื่อ
รายย่อยว่า ขณะนี้ทาง บง.เอไอจีฯ ได้ส่งรายละเอียดแผนขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์เพื่อรายย่อยมาให้ ธปท. พิจารณาแล้ว แต่ยังไม่สามารถ
เปิดเผยรายละเอียดของแผนได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ธปท. กำลังอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถสรุปเรื่อง
ดังกล่าวได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ ส่วนกรณี บค. อีกรายที่ขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์เช่นกันขณะนี้กำลังพิจารณาคาดว่าจะสรุปผลได้ภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน
อนึ่ง ก่อนหน้านี้สถาบันการเงินที่มีแผนขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์ที่เหลืออยู่ 2 แห่ง ได้แก่ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ และ บค.ไทยเคหะ โดยใน
ส่วนของ บง.เอไอจีฯ ติดปัญหาเรื่องของบริษัทแม่ที่ สรอ. มีคดีความฟ้องร้อง ซึ่งเมื่อจบคดีความแล้ว ธปท. จะต้องให้นักกฎหมายพิจารณา
อีกครั้งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา หากเป็นคดีแพ่งก็เป็นแค่การชดใช้ค่าเสียหายเรื่องก็จบได้ แต่หากเป็นคดีอาญาจะมีผลต่อ
ผู้บริหารของ บง.เอไอจีฯ ที่จะไม่สามารถเข้ารับตำแหน่งในบริษัทได้อีก ส่วนกรณีของ บค.ไทยเคหะ จะต้องพิจารณาว่ามีความเกี่ยวพันกับ
กรณีการทุจริตของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือไม่ (ผู้จัดการรายวัน)
3. คาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีของระบบ ธ.พาณิชย์จะยังขยายตัวได้ดี บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า สินเชื่อของระบบ
ธ.พาณิชย์ไทยที่ปล่อยให้แก่เอสเอ็มอี ณ สิ้นเดือน มิ.ย.49 น่าจะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 9.98 ซึ่งถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าจะ
ชะลอตัวลงจากร้อยละ 10.9 จากสิ้นปี 48 และร้อยละ 13 ณ สิ้นปี 47 ส่วนสัดส่วนของสินเชื่อเอสเอ็มอีต่อสินเชื่อรวมของ ธ.พาณิชย์ 7 แห่ง
ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.กสิกรไทย ธ.ทหารไทย ธ.กรุงศรีอยุธยา และ ธ.นครหลวงไทย พบว่า ณ สิ้นเดือน
มิ.ย.49 ธนาคารทั้ง 7 แห่ง มีสัดส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีประมาณร้อยละ 32.6 ต่อสินเชื่อรวมทุกประเภท โดยการชะลอตัวของสินเชื่อเอสเอ็มอีของ
ธ.พาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกมีสาเหตุจาก ธ.พาณิชย์ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ราคาน้ำมัน และ
ดอกเบี้ยเงินกู้ กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของเอสเอ็มอีมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ สำหรับช่วงที่เหลือของปี 49 คาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอี
จะขยายตัวร้อยละ 8.2 — 9.4 เทียบกับร้อยละ 10.9 ในสิ้นปี 48 ส่วนในปี 50 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3.5 — 4.5
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ ธ.พาณิชย์ขนาดใหญ่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูง และเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ทำให้คาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีของ
ธ.พาณิชย์ไทยจะเติบโตประมาณร้อยละ 7.6 — 9.0 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของปี 49 ทั้งนี้ สินเชื่อเอสเอ็มอียังได้รับความสนใจจาก
ธ.พาณิชย์เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนสูง แม้จะต่ำกว่าสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต แต่ก็สูงกว่าสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรายใหญ่ ซึ่งการ
แข่งขันด้านสินเชื่อที่รุนแรงมากขึ้นจะทำให้ ธ.พาณิชย์ต้องเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อยในพอร์ตรวมเพื่อสร้างผลกำไรให้สูงขึ้น (โพสต์ทูเดย์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจในอนาคต 6 เดือนข้างหน้าในเดือน ส.ค. ลดลงต่ำสุดในรอบ 90 เดือน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย แถลงผลดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือน ส.ค.49
ว่าอยู่ที่ 79.1 ลดลงจาก 80 ในเดือน ก.ค. ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจในอนาคต 6 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 69.4 ถือ
ว่ามีค่าต่ำสุดในรอบ 90 เดือน นับแต่เดือน ก.พ.42 ที่ดัชนีอยู่ที่ 66.7 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังเห็นว่าเศรษฐกิจในอนาคตยังไม่ดีเท่าที่
ควร ส่งผลให้ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจและระมัดระวังการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนผลการสำรวจหอการค้าโพลจากผู้ประกอบการ
800 ราย ทั่วประเทศ พบว่าผลการสำรวจแม้จะยังมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่มุมมองนักธุรกิจต่อเศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การ
เมืองเริ่มคลี่คลายและเริ่มปรับตัวรับมือกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้ ทำให้แรงกดดันจากราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจลดลง (มติชน, บ้านเมือง)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายปลีกของ สรอ.ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือน ส.ค.49 รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 14 ก.ย.49 ก.พาณิชย์
เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของ สรอ. ในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เหนือความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดการณ์ว่ายอดขาย
ปลีกจะลดลงร้อยละ 0.1 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ในเดือนก่อนหน้า สำหรับยอดขายปลีกเมื่อไม่รวมน้ำมันเบนซินและรถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ
0.4 ต่ำกว่าเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ขณะที่ยอดขายอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2
ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ การที่ยอดขายปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเหนือความคาดหมาย สะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.อาจจะไม่ชะลอ
ตัวลงอย่างรวดเร็วจนสามารถลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ (รอยเตอร์)
2. IMF ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษแต่เตือนให้ควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐ รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 49 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่าเศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัวอย่างรวดเร็วมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตามต้องควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อให้อยู่ในกรอบดุลงบประมาณ ทั้งนี้ในรายงานเนวโน้มเศรษฐกิจโลกซึ่งเผยแพร่ปีละ 2 ครั้งของ
IMF ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษในปีนี้เป็นขยายตัวร้อยละ 2.7 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 2.5 และ
คาดว่าจะขยายตัวในระดับนี้ต่อไปจนถึงปี 50 อย่างไรก็ตาม IMF เตือนเรื่องการขาดดุลงบประมาณของอังกฤษที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องทุกปีนับ
ตั้งแต่ปี 45 ซึ่งที่ผ่านมา IMF ได้เคยเตือนอังกฤษให้เข้มงวดในเรื่องการขาดดุลงบประมาณดังกล่าวแล้ว ซึ่งในระยะกลางทางการอังกฤษควรที่
จะเข้มงวดกับการใช้จ่ายในปัจจุบันเพื่อที่จะวางแผนกับการใช้จ่ายในอนาคตในปี 50 ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 50 รัฐบาลอังกฤษมีเป้าหมายที่จะลดการ
กู้ยืมภาครัฐให้เหลือ 36 พัน ล.ปอนด์จากจำนวนเกือบ 39 พัน ล.ปอนด์ในปีงปม. 49 ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือน มี.ค. 49 อย่างไรก็ตาม IMF
กล่าวชมตลาดแรงงานของอังกฤษว่าขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ (รอยเตอร์)
3. ยอดขายปลีกของอังกฤษในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน รายงานจากลอนดอน เมื่อ 14 ก.ย.49
สำนักงานสถิติอังกฤษ เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของอังกฤษในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน ส่งผลให้ยอดขายปลีกของ
อังกฤษทั้งปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 ขณะที่ยอดขายปลีกในเดือน ก.ค.49 ภายหลังทบทวนแล้วคงที่จากเดือน มิ.ย.ที่ก่อนหน้านี้รายงานว่าลดลงร้อยละ
0.3 ทั้งนี้ ตัวเลขยอดขายปลีกในเดือน ส.ค.จะช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้
อนึ่ง ตัวเลขการเติบโตของยอดขายปลีกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมีสาเหตุสำคัญจากยอดขายสินค้าครัวเรือน และ จากยอดขายปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน
(non-store retailing) ซึ่งมียอดขายรายเดือนเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา สำหรับยอดขายของร้านอาหารในเดือน ส.ค.
ลดลงร้อยละ 1.7 หลังจากเดือน ก.ค.49 เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตัวเลขยอดขายปลีกดังกล่าวยังแสดงว่าผู้ค้าปลีกไม่มีความต้องการ
ปรับลดราคาเพื่อจูงใจผู้บริโภค โดยราคาสินค้าเฉลี่ยล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 0.1 ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับราคาที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ลดราคาในเดือน
ม.ค.45 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
4. การจ้างงานในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 49 ในขณะที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 14 ก.ย.49 สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานค่าจ้างแรงงานต่อชั่วโมงใน 12 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุล
หลักหรือที่เรียกว่า Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบต่อปีในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 49 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.2 ต่อปีในไตรมาสแรก
ในขณะที่มีการจ้างงานในไตรมาสที่ 2 ปี 49 ใน Euro zone เพิ่มขึ้น 557,000 คน รวมเป็น 139 ล้านคน จากตัวเลขข้างต้นเป็นการยืนยัน
ว่าตลาดแรงงานของ Euro zone ดีขึ้นซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้นด้วย โดย ธ.กลางยุโรปหรือ ECB กำลังเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหว
ของค่าจ้างว่าเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นหรือไม่ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือน พ.ค.และ มิ.ย.49 อยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี และในเดือน
เม.ย.49 อยู่ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี สูงกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ต้องการให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี นักวิเคราะห์จึง
คาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ต่อปีเป็นร้อยละ 3.25 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 5 ต.ค.49 นี้เพื่อลดแรงกดดัน
เงินเฟ้อจากราคาน้ำมันและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว โดยคาดว่าในปี 49 เศรษฐกิจจะขยาย
ตัวร้อยละ 2.5 ต่อปี สูงขึ้นเกือบสองเท่าของปี 48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 ก.ย. 49 14 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.358 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.1475/37.4530 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.09844 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 702.68/18.30 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,400/10,500 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.64 59.96 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 ก.ย. 49 26.39*/25.74* 26.39*/25.74* 27.24/24.69 ปตท.
-ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ยอดเอ็นพีแอลไตรมาส 2 ขยายตัวเพิ่มขึ้น รายงานข่าวจาก ธปท. เปิดเผยถึงยอดเอ็นพีแอลในไตรมาส 2 ปี 49 แยกตาม
ประเภทธุรกิจว่า ทั้งระบบมีเอ็นพีแอล 484,265 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.22 ต่อสินเชื่อรวม โดยถ้าดูสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมพบว่าเพิ่มขึ้นเกือบ
ทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการธนาคารและธุรกิจการเงินที่มีเอ็นพีแอล 14,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 93.89 เทียบกับไตรมาสก่อน และถ้า
คิดตามสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมจะอยู่ที่ร้อยละ 2.24 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 1.03 ส่วนภาคอื่น ๆ ที่สัดส่วนเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ได้แก่ ธุรกิจเหมืองแร่และย่อยหินมีเอ็นพีแอลคิดเป็นร้อยละ 15.67 ต่อสินเชื่อรวม ธุรกิจอุตสาหกรรม ร้อยละ 9.99 ธุรกิจสาธารณูปโภค
ร้อยละ 2.55 ธุรกิจบริการ ร้อยละ 8.54 ธุรกิจการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ร้อยละ 6.02 และธุรกิจอื่น ๆ ร้อยละ 0.99 ทั้งนี้ เมื่อดู
ยอดรวมการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอลทั้งระบบอยู่ที่ 71,670 ล้านบาท เร่งตัวจากไตรมาสก่อนที่เคยเพิ่มขึ้น 52,549 ล้านบาท แบ่งเป็นเอ็นพีแอล
เกิดขึ้นใหม่ 42,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,501 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.22 จากไตรมาสก่อน หนี้ที่เคยปรับปรุงโครงสร้างแล้วย้อนกลับมา
เป็นเอ็นพีแอลอีกครั้ง 22,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,418 ล้านบาท หรือร้อยละ 69.89 และเอ็นพีแอลจากเหตุอื่น ๆ 6,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
1,203 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.36 ขณะที่ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า จะดูเพียงยอดการ
เพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอลด้านเดียวไม่ได้ ต้องดูเอ็นพีแอลที่ลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม การที่ยอดการเพิ่มของเอ็นพีแอลเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
อาจจะสะท้อนว่าเศรษฐกิจไม่ดีก็ได้ (เดลินิวส์)
2. ธปท. คาดว่าจะสามารถสรุปผลการขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์รายย่อยได้ภายในสิ้นปีนี้ นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค
ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการขอยกระดับสถานะของ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ มาเป็น ธ.พาณิชย์เพื่อ
รายย่อยว่า ขณะนี้ทาง บง.เอไอจีฯ ได้ส่งรายละเอียดแผนขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์เพื่อรายย่อยมาให้ ธปท. พิจารณาแล้ว แต่ยังไม่สามารถ
เปิดเผยรายละเอียดของแผนได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ธปท. กำลังอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถสรุปเรื่อง
ดังกล่าวได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ ส่วนกรณี บค. อีกรายที่ขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์เช่นกันขณะนี้กำลังพิจารณาคาดว่าจะสรุปผลได้ภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน
อนึ่ง ก่อนหน้านี้สถาบันการเงินที่มีแผนขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์ที่เหลืออยู่ 2 แห่ง ได้แก่ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ และ บค.ไทยเคหะ โดยใน
ส่วนของ บง.เอไอจีฯ ติดปัญหาเรื่องของบริษัทแม่ที่ สรอ. มีคดีความฟ้องร้อง ซึ่งเมื่อจบคดีความแล้ว ธปท. จะต้องให้นักกฎหมายพิจารณา
อีกครั้งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา หากเป็นคดีแพ่งก็เป็นแค่การชดใช้ค่าเสียหายเรื่องก็จบได้ แต่หากเป็นคดีอาญาจะมีผลต่อ
ผู้บริหารของ บง.เอไอจีฯ ที่จะไม่สามารถเข้ารับตำแหน่งในบริษัทได้อีก ส่วนกรณีของ บค.ไทยเคหะ จะต้องพิจารณาว่ามีความเกี่ยวพันกับ
กรณีการทุจริตของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือไม่ (ผู้จัดการรายวัน)
3. คาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีของระบบ ธ.พาณิชย์จะยังขยายตัวได้ดี บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า สินเชื่อของระบบ
ธ.พาณิชย์ไทยที่ปล่อยให้แก่เอสเอ็มอี ณ สิ้นเดือน มิ.ย.49 น่าจะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 9.98 ซึ่งถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าจะ
ชะลอตัวลงจากร้อยละ 10.9 จากสิ้นปี 48 และร้อยละ 13 ณ สิ้นปี 47 ส่วนสัดส่วนของสินเชื่อเอสเอ็มอีต่อสินเชื่อรวมของ ธ.พาณิชย์ 7 แห่ง
ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.กสิกรไทย ธ.ทหารไทย ธ.กรุงศรีอยุธยา และ ธ.นครหลวงไทย พบว่า ณ สิ้นเดือน
มิ.ย.49 ธนาคารทั้ง 7 แห่ง มีสัดส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีประมาณร้อยละ 32.6 ต่อสินเชื่อรวมทุกประเภท โดยการชะลอตัวของสินเชื่อเอสเอ็มอีของ
ธ.พาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกมีสาเหตุจาก ธ.พาณิชย์ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ราคาน้ำมัน และ
ดอกเบี้ยเงินกู้ กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของเอสเอ็มอีมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ สำหรับช่วงที่เหลือของปี 49 คาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอี
จะขยายตัวร้อยละ 8.2 — 9.4 เทียบกับร้อยละ 10.9 ในสิ้นปี 48 ส่วนในปี 50 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3.5 — 4.5
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ ธ.พาณิชย์ขนาดใหญ่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูง และเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ทำให้คาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีของ
ธ.พาณิชย์ไทยจะเติบโตประมาณร้อยละ 7.6 — 9.0 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของปี 49 ทั้งนี้ สินเชื่อเอสเอ็มอียังได้รับความสนใจจาก
ธ.พาณิชย์เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนสูง แม้จะต่ำกว่าสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต แต่ก็สูงกว่าสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรายใหญ่ ซึ่งการ
แข่งขันด้านสินเชื่อที่รุนแรงมากขึ้นจะทำให้ ธ.พาณิชย์ต้องเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อยในพอร์ตรวมเพื่อสร้างผลกำไรให้สูงขึ้น (โพสต์ทูเดย์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจในอนาคต 6 เดือนข้างหน้าในเดือน ส.ค. ลดลงต่ำสุดในรอบ 90 เดือน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย แถลงผลดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือน ส.ค.49
ว่าอยู่ที่ 79.1 ลดลงจาก 80 ในเดือน ก.ค. ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจในอนาคต 6 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 69.4 ถือ
ว่ามีค่าต่ำสุดในรอบ 90 เดือน นับแต่เดือน ก.พ.42 ที่ดัชนีอยู่ที่ 66.7 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังเห็นว่าเศรษฐกิจในอนาคตยังไม่ดีเท่าที่
ควร ส่งผลให้ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจและระมัดระวังการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนผลการสำรวจหอการค้าโพลจากผู้ประกอบการ
800 ราย ทั่วประเทศ พบว่าผลการสำรวจแม้จะยังมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่มุมมองนักธุรกิจต่อเศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การ
เมืองเริ่มคลี่คลายและเริ่มปรับตัวรับมือกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้ ทำให้แรงกดดันจากราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจลดลง (มติชน, บ้านเมือง)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายปลีกของ สรอ.ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือน ส.ค.49 รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 14 ก.ย.49 ก.พาณิชย์
เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของ สรอ. ในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เหนือความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดการณ์ว่ายอดขาย
ปลีกจะลดลงร้อยละ 0.1 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ในเดือนก่อนหน้า สำหรับยอดขายปลีกเมื่อไม่รวมน้ำมันเบนซินและรถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ
0.4 ต่ำกว่าเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ขณะที่ยอดขายอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2
ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ การที่ยอดขายปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเหนือความคาดหมาย สะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.อาจจะไม่ชะลอ
ตัวลงอย่างรวดเร็วจนสามารถลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ (รอยเตอร์)
2. IMF ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษแต่เตือนให้ควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐ รายงานจากลอนดอน
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 49 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่าเศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัวอย่างรวดเร็วมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตามต้องควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อให้อยู่ในกรอบดุลงบประมาณ ทั้งนี้ในรายงานเนวโน้มเศรษฐกิจโลกซึ่งเผยแพร่ปีละ 2 ครั้งของ
IMF ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษในปีนี้เป็นขยายตัวร้อยละ 2.7 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 2.5 และ
คาดว่าจะขยายตัวในระดับนี้ต่อไปจนถึงปี 50 อย่างไรก็ตาม IMF เตือนเรื่องการขาดดุลงบประมาณของอังกฤษที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องทุกปีนับ
ตั้งแต่ปี 45 ซึ่งที่ผ่านมา IMF ได้เคยเตือนอังกฤษให้เข้มงวดในเรื่องการขาดดุลงบประมาณดังกล่าวแล้ว ซึ่งในระยะกลางทางการอังกฤษควรที่
จะเข้มงวดกับการใช้จ่ายในปัจจุบันเพื่อที่จะวางแผนกับการใช้จ่ายในอนาคตในปี 50 ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 50 รัฐบาลอังกฤษมีเป้าหมายที่จะลดการ
กู้ยืมภาครัฐให้เหลือ 36 พัน ล.ปอนด์จากจำนวนเกือบ 39 พัน ล.ปอนด์ในปีงปม. 49 ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือน มี.ค. 49 อย่างไรก็ตาม IMF
กล่าวชมตลาดแรงงานของอังกฤษว่าขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ (รอยเตอร์)
3. ยอดขายปลีกของอังกฤษในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน รายงานจากลอนดอน เมื่อ 14 ก.ย.49
สำนักงานสถิติอังกฤษ เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของอังกฤษในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน ส่งผลให้ยอดขายปลีกของ
อังกฤษทั้งปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 ขณะที่ยอดขายปลีกในเดือน ก.ค.49 ภายหลังทบทวนแล้วคงที่จากเดือน มิ.ย.ที่ก่อนหน้านี้รายงานว่าลดลงร้อยละ
0.3 ทั้งนี้ ตัวเลขยอดขายปลีกในเดือน ส.ค.จะช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้
อนึ่ง ตัวเลขการเติบโตของยอดขายปลีกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมีสาเหตุสำคัญจากยอดขายสินค้าครัวเรือน และ จากยอดขายปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน
(non-store retailing) ซึ่งมียอดขายรายเดือนเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา สำหรับยอดขายของร้านอาหารในเดือน ส.ค.
ลดลงร้อยละ 1.7 หลังจากเดือน ก.ค.49 เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตัวเลขยอดขายปลีกดังกล่าวยังแสดงว่าผู้ค้าปลีกไม่มีความต้องการ
ปรับลดราคาเพื่อจูงใจผู้บริโภค โดยราคาสินค้าเฉลี่ยล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 0.1 ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับราคาที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ลดราคาในเดือน
ม.ค.45 เป็นต้นมา (รอยเตอร์)
4. การจ้างงานในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 49 ในขณะที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 14 ก.ย.49 สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานค่าจ้างแรงงานต่อชั่วโมงใน 12 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุล
หลักหรือที่เรียกว่า Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบต่อปีในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 49 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.2 ต่อปีในไตรมาสแรก
ในขณะที่มีการจ้างงานในไตรมาสที่ 2 ปี 49 ใน Euro zone เพิ่มขึ้น 557,000 คน รวมเป็น 139 ล้านคน จากตัวเลขข้างต้นเป็นการยืนยัน
ว่าตลาดแรงงานของ Euro zone ดีขึ้นซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้นด้วย โดย ธ.กลางยุโรปหรือ ECB กำลังเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหว
ของค่าจ้างว่าเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นหรือไม่ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือน พ.ค.และ มิ.ย.49 อยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี และในเดือน
เม.ย.49 อยู่ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี สูงกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ต้องการให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี นักวิเคราะห์จึง
คาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ต่อปีเป็นร้อยละ 3.25 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 5 ต.ค.49 นี้เพื่อลดแรงกดดัน
เงินเฟ้อจากราคาน้ำมันและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว โดยคาดว่าในปี 49 เศรษฐกิจจะขยาย
ตัวร้อยละ 2.5 ต่อปี สูงขึ้นเกือบสองเท่าของปี 48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 15 ก.ย. 49 14 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.358 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.1475/37.4530 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.09844 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 702.68/18.30 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,150/10,250 10,400/10,500 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.64 59.96 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 14 ก.ย. 49 26.39*/25.74* 26.39*/25.74* 27.24/24.69 ปตท.
-ธนาคารแห่งประเทศไทย--