ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ยอดบัตรเครดิตเดือน ก.ค.49 ลดลงจากเดือนก่อนหน้ากว่า 3 หมื่นใบ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ช่วยว่าการสายสถาบันการ
เงิน ธปท. เปิดเผยว่า ยอดบัตรเครดิตเดือน ก.ค.49 มีจำนวนลดลงจากเดือนก่อนหน้ากว่า 3 หมื่นใบ ซึ่ง ธปท. ยังไม่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการ
ถึงสาเหตุที่ทำให้จำนวนบัตรเครดิตลดลง แต่เบื้องต้นอาจเป็นเพราะความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตรลดลง ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตร
เครดิตเป็นฝ่ายยกเลิกบัตรของลูกค้าเอง แต่การจะยกเลิกบัตรลูกหนี้จะต้องมีปัญหาการชำระหนี้อย่างมากจริง ๆ ผู้ประกอบการจึงตัดสินใจดำเนินการ
ดังกล่าว ขณะเดียวกันอาจเกิดจากกรณีที่ผู้ถือบัตรมีบัตรเครดิตหลายใบจึงเป็นฝ่ายขอยกเลิกเอง อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับผู้ประกอบธุรกิจบัตร
เครดิตเมื่อไตรมาส 2/49 ยังไม่ปรากฏว่ามีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นในระบบธุรกิจบัตรเครดิต โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีเอ็นพีแอลของสินเชื่อบัตร
เครดิตเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.02 เท่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวจะตัดหนี้เอ็นพีแอลจากพอร์ตอย่างรวดเร็วและกันสำรองเผื่อหนี้สูญไว้
อย่างเพียงพอ ในขณะที่ นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้จำนวนบัตรเครดิตลดลง
น่าจะเป็นเพราะผู้ประกอบการยกเลิกบัตรของลูกค้า โดยส่วนใหญ่น่าจะเป็นกรณีที่บัตรหมดอายุแต่ผู้ประกอบการไม่ต่ออายุให้เพราะเกรงว่าผู้ถือบัตร
จะใช้จ่ายแต่ไม่ชำระหนี้ นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดเอ็นพีแอลผู้ประกอบการจะยกเลิกบัตรของลูกค้า ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความ
สามารถในการจ่ายหนี้ลดลง ทั้งนี้ สัดส่วนเอ็นพีแอลของบัตรเครดิตล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 2-3 ของยอดคงค้างรวม อนึ่ง มีรายงานข่าวจาก ธปท.
แจ้งว่า ในเดือน ก.ค.49 จำนวนบัตรเครดิตในระบบมีทั้งสิ้น 10,450,421 ใบ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 31,039 ใบ หรือลดลงร้อยละ 0.3
ส่วนยอดสินเชื่อคงค้างมีจำนวนทั้งสิ้น 156,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 2,451 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.59 ขณะที่ปริมาณการใช้จ่าย
ผ่านบัตรเครดิตมีจำนวน 62,734 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,789 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.43 ส่วนการเบิกเงินสดล่วงหน้ามีจำนวน 15,331 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 943 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.56 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากอดีตอย่างชัดเจน (มติชน)
2. ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยถูกลง แต่ไม่ส่งผลให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ธ.พาณิชย์เพิ่มขึ้น ทีมวิเคราะห์สาขาเศรษฐกิจ ธปท.
เปิดเผยผลสำรวจดัชนีราคาที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 49 พบว่า ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่า
เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 49 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ส่วนดัชนีราคาบ้านทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 เทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน แต่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 6.8 ด้านดัชนีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปี 49 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ส่งผลให้ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.9 เทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาสแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 5 ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์พร้อมที่ดินขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน แต่สูงขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 4.5 ซึ่งภาวะดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยใหม่ นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นและกำลังซื้อของประชาชน
ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ราคาบ้านไม่ปรับขึ้นไปอีกเพราะความต้องการไม่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การจัดทำดัชนีราคาที่อยู่อาศัยของ ธปท.
ดูจากการขอกู้ยืมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ธ.อาคารสงเคราะห์ ที่มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อที่อยู่โดยรวมร้อยละ 40 ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบ การ
สำรวจครอบคลุมที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจัดทำข้อมูล 6,218 รายการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2,100 รายการ ทาวน์เฮ้าส์
4,118 รายการ ส่วนการทำดัชนีที่ดินสำรวจจากการใช้ข้อมูลทั้งสิ้น 8,876 รายการ ทางด้าน นางรัชนี นพเมือง ผู้ช่วย กก.ผจก.ใหญ่
ธ.กรุงเทพ กล่าวว่า ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยที่ลดลงไม่ได้ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การยื่นคำร้องขอกู้
สินเชื่อบ้านที่อยู่อาศัย รวมถึงยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง (โพสต์ทูเดย์)
3. ธปท. ยังไม่สรุปเรื่องการขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์เพื่อรายย่อยของ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค ผู้
ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท. จะยังไม่สรุปเรื่องเพื่อส่งให้ ก.คลังอนุมัติการขอยกระดับ บง.เอไอจี
ไฟแนนซ์ ขึ้นเป็น ธ.พาณิชย์เพื่อรายย่อยจนกว่าศาล สรอ. จะสรุปผลคดีที่เกี่ยวเนื่องกับธรรมาภิบาลของบริษัทให้เรียบร้อย ซึ่งถ้าคดีไม่มีข้อสรุป
ธปท. ก็ไม่สามารถพิจารณาหรือส่งความเห็นให้ ก.คลังเพื่อตัดสินใจอนุมัติได้เช่นกัน ต้องรอความชัดเจนของคดีที่บริษัทถูกฟ้องร้องในหลายคดี
เพราะคดีมีผลต่อ บง.เอไอจีที่ไทยด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่ากรณีนี้น่าจะสรุปผลได้ในสิ้นปีนี้ ถ้า บง.เอไอจีส่งผลสรุปทางคดีมาให้พิจารณา ทั้งนี้
บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ เอไอจี สรอ. มากกว่าร้อยละ 90 (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางยุโรปหรือ ECB เตือนว่าแรงกดดันเงินเฟ้อในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone กำลังเพิ่มสูงขึ้น รายงานจากเฮล
ซิงกิ เมื่อ 9 ก.ย.49 ประธาน ธ.กลางยุโรปหรือ ECB อ้างแรงกดดันเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเป็นสาเหตุที่จะทำให้ ECB ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายต่อไป ส่งสัญญาณว่า ECB อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 3.25 ต่อปีในการประชุมในเดือน ต.ค.49 ที่จะถึงนี้ หลังจาก
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 4 ครั้งนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.48 เป็นต้นมา โดย ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ
2.4 ต่อปีทั้งในปี 49 และปี 50 โดยอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีมาตั้งแต่ปี 42 ในขณะที่ ECB ตั้ง
เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นเกินกว่าที่คาดไว้ โดยขยายตัวถึงร้อยละ 2.4
ต่อปีในไตรมาสที่ 2 ปี 49 สูงสุดในรอบ 6 ปี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น มีส่วนทำให้แรง
กดดันเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
2. IMF เห็นว่า ธ.กลางยุโรปควรจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง รายงานจาก
เบอร์ลิน เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 49 Rodrigo Rato เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า ธ.กลางยุโรปควรที่
จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในขณะที่เศรษฐกิจของ 12 ประเทศในยูโรโซนกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้นทุนแรงงาน และ
อัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้นก็เป็นสิ่งที่ ธ.กลางควรที่จะให้ความสนใจและดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ทั้งนี้นับตั้งแต่เดือน
ธ.ค. 48 ธ.กลางยุโรปได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาแล้วประมาณ ร้อยละ 1.0 อยู่ที่ร้อยละ 3.0 และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่า จนถึงสิ้นปีนี้
ธ.กลางยุโรปจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเป็นร้อยละ 3.5 (รอยเตอร์)
3. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาส 2 ปี 49 ขยายตัวร้อยละ 1.0 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียว เมื่อ
11 ก.ย.49 The Cabinet Office เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาส 2 ปี 49 ขยายตัวร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบ
ต่อปี เพิ่มขึ้นจากที่รายงานก่อนหน้านี้ว่าขยายตัวร้อยละ 0.8 แต่ก็สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และหากเทียบต่อไตรมาสขยายตัวร้อยละ 0.2
สอดคล้องกับที่รายงานตัวเลขก่อนหน้านี้และกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (ขณะที่เมื่อเทียบกับ สรอ.ในช่วงไตรมาสเดียวกัน สรอ.ขยายตัวร้อยละ 2.9)
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาส 2 เนื่องจากการใช้จ่ายเงินทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7
จากไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ จากผลสำรวจของรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ก่อนยังพบว่า ภาคเอกชนเพิ่มการใช้จ่ายในส่วนของโรงงานและอุปกรณ์ถึง
ร้อยละ 16.6 ในไตรมาส 2 เทียบต่อปี ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 อนึ่ง ตัวเลขการใช้จ่ายเงินทุนที่แข็งแกร่ง
ยังควบคู่กับไปกับตัวเลขแนวโน้มดัชนีราคาผู้บริโภคที่ชะลอลง ส่งผลให้มุมมองของตลาดแยกเป็น 2 ส่วนว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายในปลายปีนี้หรือไม่ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธ.กลางญี่ปุ่นยังคงมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม ขณะที่ผู้ว่าการ ธ.กลาง
กล่าวย้ำว่า ธ.กลางอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย ธ.กลางได้เฝ้าติดตามภาวะเศรษฐกิจและดัชนีราคาผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด
อนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาคธุรกิจกลับมาแข็งแกร่งหลังจากที่ชะลอตัวจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ
(รอยเตอร์)
4. เศรษฐกิจจีนชะลอตัวขณะที่สภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูง รายงานจาก สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 49 ผวก.
ธ.กลางจีนเปิดเผยว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า ขณะที่ ธ.กลางจีนได้พยายามลด
สภาพคล่องในระบบการเงินต่อไปอีก พร้อมทั้งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 38 เป็นต้นมา
จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดเนื่องจากการส่งออกและการลงทุนที่ขยายตัว
อย่างมากจากค่าเงินหยวนที่มีราคาถูก ซึ่งมีการกล่าวกันว่าจีนมีความได้เปรียบจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนที่มีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 11.3 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูง และคาดว่าจะขยายตัวเช่นนี้
ไปจนถึงปีหน้า แม้ว่าทางการจีนจะปรับนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาคเพื่อชะลอความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนแล้วก็ตาม โดยใน
เดือน ส.ค.ที่ผ่านมาจีนได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 เดือน รวมทั้งให้ ธพ. เพิ่มเงินสำรองทางการ ซึ่งนัก
เศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ ธ.กลางจีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในปีนี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 ก.ย. 49 8 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.405 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.1949/37.4919 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.10797 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 692.46/12.73 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,600/11,700 10,950/11,050 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 60.42 61.45 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 50 สตางค์ เมื่อ 9 ก.ย. 49 27.19*/26.39* 27.69/26.89 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ยอดบัตรเครดิตเดือน ก.ค.49 ลดลงจากเดือนก่อนหน้ากว่า 3 หมื่นใบ นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ช่วยว่าการสายสถาบันการ
เงิน ธปท. เปิดเผยว่า ยอดบัตรเครดิตเดือน ก.ค.49 มีจำนวนลดลงจากเดือนก่อนหน้ากว่า 3 หมื่นใบ ซึ่ง ธปท. ยังไม่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการ
ถึงสาเหตุที่ทำให้จำนวนบัตรเครดิตลดลง แต่เบื้องต้นอาจเป็นเพราะความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตรลดลง ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตร
เครดิตเป็นฝ่ายยกเลิกบัตรของลูกค้าเอง แต่การจะยกเลิกบัตรลูกหนี้จะต้องมีปัญหาการชำระหนี้อย่างมากจริง ๆ ผู้ประกอบการจึงตัดสินใจดำเนินการ
ดังกล่าว ขณะเดียวกันอาจเกิดจากกรณีที่ผู้ถือบัตรมีบัตรเครดิตหลายใบจึงเป็นฝ่ายขอยกเลิกเอง อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับผู้ประกอบธุรกิจบัตร
เครดิตเมื่อไตรมาส 2/49 ยังไม่ปรากฏว่ามีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นในระบบธุรกิจบัตรเครดิต โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีเอ็นพีแอลของสินเชื่อบัตร
เครดิตเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.02 เท่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวจะตัดหนี้เอ็นพีแอลจากพอร์ตอย่างรวดเร็วและกันสำรองเผื่อหนี้สูญไว้
อย่างเพียงพอ ในขณะที่ นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้จำนวนบัตรเครดิตลดลง
น่าจะเป็นเพราะผู้ประกอบการยกเลิกบัตรของลูกค้า โดยส่วนใหญ่น่าจะเป็นกรณีที่บัตรหมดอายุแต่ผู้ประกอบการไม่ต่ออายุให้เพราะเกรงว่าผู้ถือบัตร
จะใช้จ่ายแต่ไม่ชำระหนี้ นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดเอ็นพีแอลผู้ประกอบการจะยกเลิกบัตรของลูกค้า ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความ
สามารถในการจ่ายหนี้ลดลง ทั้งนี้ สัดส่วนเอ็นพีแอลของบัตรเครดิตล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 2-3 ของยอดคงค้างรวม อนึ่ง มีรายงานข่าวจาก ธปท.
แจ้งว่า ในเดือน ก.ค.49 จำนวนบัตรเครดิตในระบบมีทั้งสิ้น 10,450,421 ใบ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 31,039 ใบ หรือลดลงร้อยละ 0.3
ส่วนยอดสินเชื่อคงค้างมีจำนวนทั้งสิ้น 156,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 2,451 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.59 ขณะที่ปริมาณการใช้จ่าย
ผ่านบัตรเครดิตมีจำนวน 62,734 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,789 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.43 ส่วนการเบิกเงินสดล่วงหน้ามีจำนวน 15,331 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 943 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.56 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากอดีตอย่างชัดเจน (มติชน)
2. ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยถูกลง แต่ไม่ส่งผลให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ธ.พาณิชย์เพิ่มขึ้น ทีมวิเคราะห์สาขาเศรษฐกิจ ธปท.
เปิดเผยผลสำรวจดัชนีราคาที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 49 พบว่า ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่า
เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 49 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ส่วนดัชนีราคาบ้านทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 เทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน แต่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 6.8 ด้านดัชนีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปี 49 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ส่งผลให้ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.9 เทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาสแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 5 ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์พร้อมที่ดินขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน แต่สูงขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 4.5 ซึ่งภาวะดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยใหม่ นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นและกำลังซื้อของประชาชน
ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ราคาบ้านไม่ปรับขึ้นไปอีกเพราะความต้องการไม่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การจัดทำดัชนีราคาที่อยู่อาศัยของ ธปท.
ดูจากการขอกู้ยืมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ธ.อาคารสงเคราะห์ ที่มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อที่อยู่โดยรวมร้อยละ 40 ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบ การ
สำรวจครอบคลุมที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจัดทำข้อมูล 6,218 รายการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2,100 รายการ ทาวน์เฮ้าส์
4,118 รายการ ส่วนการทำดัชนีที่ดินสำรวจจากการใช้ข้อมูลทั้งสิ้น 8,876 รายการ ทางด้าน นางรัชนี นพเมือง ผู้ช่วย กก.ผจก.ใหญ่
ธ.กรุงเทพ กล่าวว่า ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยที่ลดลงไม่ได้ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การยื่นคำร้องขอกู้
สินเชื่อบ้านที่อยู่อาศัย รวมถึงยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง (โพสต์ทูเดย์)
3. ธปท. ยังไม่สรุปเรื่องการขอยกระดับเป็น ธ.พาณิชย์เพื่อรายย่อยของ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค ผู้
ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท. จะยังไม่สรุปเรื่องเพื่อส่งให้ ก.คลังอนุมัติการขอยกระดับ บง.เอไอจี
ไฟแนนซ์ ขึ้นเป็น ธ.พาณิชย์เพื่อรายย่อยจนกว่าศาล สรอ. จะสรุปผลคดีที่เกี่ยวเนื่องกับธรรมาภิบาลของบริษัทให้เรียบร้อย ซึ่งถ้าคดีไม่มีข้อสรุป
ธปท. ก็ไม่สามารถพิจารณาหรือส่งความเห็นให้ ก.คลังเพื่อตัดสินใจอนุมัติได้เช่นกัน ต้องรอความชัดเจนของคดีที่บริษัทถูกฟ้องร้องในหลายคดี
เพราะคดีมีผลต่อ บง.เอไอจีที่ไทยด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่ากรณีนี้น่าจะสรุปผลได้ในสิ้นปีนี้ ถ้า บง.เอไอจีส่งผลสรุปทางคดีมาให้พิจารณา ทั้งนี้
บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ เอไอจี สรอ. มากกว่าร้อยละ 90 (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ.กลางยุโรปหรือ ECB เตือนว่าแรงกดดันเงินเฟ้อในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone กำลังเพิ่มสูงขึ้น รายงานจากเฮล
ซิงกิ เมื่อ 9 ก.ย.49 ประธาน ธ.กลางยุโรปหรือ ECB อ้างแรงกดดันเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเป็นสาเหตุที่จะทำให้ ECB ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายต่อไป ส่งสัญญาณว่า ECB อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 3.25 ต่อปีในการประชุมในเดือน ต.ค.49 ที่จะถึงนี้ หลังจาก
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 4 ครั้งนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.48 เป็นต้นมา โดย ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ
2.4 ต่อปีทั้งในปี 49 และปี 50 โดยอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีมาตั้งแต่ปี 42 ในขณะที่ ECB ตั้ง
เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นเกินกว่าที่คาดไว้ โดยขยายตัวถึงร้อยละ 2.4
ต่อปีในไตรมาสที่ 2 ปี 49 สูงสุดในรอบ 6 ปี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น มีส่วนทำให้แรง
กดดันเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
2. IMF เห็นว่า ธ.กลางยุโรปควรจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง รายงานจาก
เบอร์ลิน เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 49 Rodrigo Rato เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า ธ.กลางยุโรปควรที่
จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในขณะที่เศรษฐกิจของ 12 ประเทศในยูโรโซนกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้นทุนแรงงาน และ
อัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้นก็เป็นสิ่งที่ ธ.กลางควรที่จะให้ความสนใจและดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ทั้งนี้นับตั้งแต่เดือน
ธ.ค. 48 ธ.กลางยุโรปได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาแล้วประมาณ ร้อยละ 1.0 อยู่ที่ร้อยละ 3.0 และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่า จนถึงสิ้นปีนี้
ธ.กลางยุโรปจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเป็นร้อยละ 3.5 (รอยเตอร์)
3. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาส 2 ปี 49 ขยายตัวร้อยละ 1.0 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียว เมื่อ
11 ก.ย.49 The Cabinet Office เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาส 2 ปี 49 ขยายตัวร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบ
ต่อปี เพิ่มขึ้นจากที่รายงานก่อนหน้านี้ว่าขยายตัวร้อยละ 0.8 แต่ก็สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และหากเทียบต่อไตรมาสขยายตัวร้อยละ 0.2
สอดคล้องกับที่รายงานตัวเลขก่อนหน้านี้และกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (ขณะที่เมื่อเทียบกับ สรอ.ในช่วงไตรมาสเดียวกัน สรอ.ขยายตัวร้อยละ 2.9)
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาส 2 เนื่องจากการใช้จ่ายเงินทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7
จากไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ จากผลสำรวจของรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ก่อนยังพบว่า ภาคเอกชนเพิ่มการใช้จ่ายในส่วนของโรงงานและอุปกรณ์ถึง
ร้อยละ 16.6 ในไตรมาส 2 เทียบต่อปี ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 อนึ่ง ตัวเลขการใช้จ่ายเงินทุนที่แข็งแกร่ง
ยังควบคู่กับไปกับตัวเลขแนวโน้มดัชนีราคาผู้บริโภคที่ชะลอลง ส่งผลให้มุมมองของตลาดแยกเป็น 2 ส่วนว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นโยบายในปลายปีนี้หรือไม่ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธ.กลางญี่ปุ่นยังคงมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม ขณะที่ผู้ว่าการ ธ.กลาง
กล่าวย้ำว่า ธ.กลางอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย ธ.กลางได้เฝ้าติดตามภาวะเศรษฐกิจและดัชนีราคาผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด
อนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาคธุรกิจกลับมาแข็งแกร่งหลังจากที่ชะลอตัวจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ
(รอยเตอร์)
4. เศรษฐกิจจีนชะลอตัวขณะที่สภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูง รายงานจาก สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 49 ผวก.
ธ.กลางจีนเปิดเผยว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า ขณะที่ ธ.กลางจีนได้พยายามลด
สภาพคล่องในระบบการเงินต่อไปอีก พร้อมทั้งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 38 เป็นต้นมา
จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดเนื่องจากการส่งออกและการลงทุนที่ขยายตัว
อย่างมากจากค่าเงินหยวนที่มีราคาถูก ซึ่งมีการกล่าวกันว่าจีนมีความได้เปรียบจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนที่มีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 11.3 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูง และคาดว่าจะขยายตัวเช่นนี้
ไปจนถึงปีหน้า แม้ว่าทางการจีนจะปรับนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาคเพื่อชะลอความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนแล้วก็ตาม โดยใน
เดือน ส.ค.ที่ผ่านมาจีนได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 เดือน รวมทั้งให้ ธพ. เพิ่มเงินสำรองทางการ ซึ่งนัก
เศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ ธ.กลางจีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในปีนี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 11 ก.ย. 49 8 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.405 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.1949/37.4919 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.10797 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 692.46/12.73 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,600/11,700 10,950/11,050 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 60.42 61.45 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 50 สตางค์ เมื่อ 9 ก.ย. 49 27.19*/26.39* 27.69/26.89 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--