พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 28 ธันวาคม 2559 - 03 มกราคม 2560

ข่าวทั่วไป Wednesday December 28, 2016 15:35 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 28 ธันวาคม 2559 - 03 มกราคม 2560

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 28 -31 ธ.ค. 59 อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 4-7 องศากับมีลมแรง โดยมีฝนฟ้าคะนองลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้บางแห่ง ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ในช่วงวันที่ 31 ธ.ค. 59 - 1 ม.ค. 60 อุณหภูมิต่ำสุด 11-17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-29 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 2-9 องศาเซลเซียส กับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 1-3 ม.ค. 60 อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

  • ผลผลิตทางการเกษตร ในช่วงวันที่ 28 ธ.ค. 59 – 1 ม.ค. 60 จะมีฝนฟ้าคะนองลมกระโชกแรง กับมีลูกเห็บบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตราย และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร และอาคารบ้านเรือน ผลผลิตที่แก่ดีแล้วควรรีบเก็บเกี่ยว และหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตไว้กลางแจ้งในช่วงเวลาดังกล่าว
  • สัตว์เลี้ยง ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรทำแผงกำบังลมหนาว เพื่อป้องกันลมโกรกโรงเรือน ทำให้สัตว์เลี้ยงหนาวเย็น โดยเฉพาะสัตว์ที่ยังเล็กควรเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือน เพื่อป้องกันสัตว์หนาวเย็นจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
  • เกษตรกร สำหรับสภาพอากาศที่หนาวเย็นในระยะนี้ เกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเองอย่างเพียงพอ หากปล่อยให้ร่างกายหนาวเย็นจะทำให้อ่อนแอและเจ็บป่วยได้ง่าย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 28 -30 ธ.ค. 59 อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 4-6 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 12-17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-29 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-11 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 31 ธ.ค. 29 -3 ม.ค. 60 อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 15-17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 7-11 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

  • เกษตรกร ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
  • สัตว์น้ำ สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น ปลา ในช่วงที่อุณหภูมิลดลง เกษตรกรควรลดปริมาณอาหาร เนื่องจากอุณหภูมิลดลงสัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อยลง อาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย สัตว์น้ำจะอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
  • พื้นที่การเกษตร เกษตรกรที่ต้องการปลูกพืชในระยะนี้ควรเลือกปลูกพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อย เนื่องจากระยะต่อไปจะเป็นช่วงแล้ง

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 28 - 31 ธ.ค. 59 อากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 16-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 1-3 ม.ค. 60 อากาศเย็น อุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-3 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 17-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

  • พืชไร่ เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ
  • สัตว์น้ำ เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำในช่วงที่อุณหภูมิลดลง เกษตรกรควรลดปริมาณอาหารลง เพราะสัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อย ส่งผลให้อาหารเหลือทำให้น้ำเน่าเสียสัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 28 -31 ธ.ค. 59 อากาศเย็น และอุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 16-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-31 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 1-3 ม.ค. 60 อากาศเย็น อุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-3 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 17-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

  • ไม้ผล ไม้ผลที่อยู่ในระยะออกดอก เกษตรกรควรระวังและป้องกันศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต การออกดอกและติดผลลดลง
  • พื้นที่การเกษตร ระยะนี้ปริมาณน้ำระเหยมาก ในขณะที่ปริมาณฝนมีน้อย เกษตรกรควรคลุมบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 28-29 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 59 -3 ม.ค. 60 มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่งส่วนมากทางตอนล่างของภาค ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-45 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากว่า 4 เมตร

  • สัตว์น้ำ ทางตอนบนของภาคจะมีอากาศเย็น อาจส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ โดยเฉพาะกุ้ง อาจน็อคน้ำตายได้
  • พื้นที่การเกษตร ทางตอนล่างของภาคจะมีฝนตกหนักบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมที่จะเกิดไว้ด้วย
  • กาแฟ ในช่วงที่มีฝนตกติดต่อกัน ทำให้อากาศมีความชื้นสูงชาวสวนกาแฟควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยดูแลสวนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นภายในสวน
  • ไม้ผล สำหรับสวนผลไม้ที่อยู่ในที่ลุ่ม เกษตรกรไม่ควรปล่อยให้น้ำขังในบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศ ต้นพืชตายได้
  • ประมงชายฝั่ง ในช่วงวันที่ 28 ธ.ค. 59 – 3 ม.ค. 60 บริเวณอ่าวไทยจะมีคลื่นลมแรงโดยมีคลื่นสูงประมาณ 2-4 เมตร เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากคลื่นซัดฝั่ง ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงดังกล่าว

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

ในช่วงวันที่ 28-30 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 31 ธ.ค. 59 -3 ม.ค. 60 มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

  • กาแฟ ในช่วงที่มีฝนตกติดต่อกัน ทำให้อากาศมีความชื้นสูงชาวสวนกาแฟควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยดูแลสวนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นภายในสวน
  • ไม้ผล สำหรับสวนผลไม้ที่อยู่ในที่ลุ่ม เกษตรกรไม่ควรปล่อยให้น้ำขังในบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศ ต้นพืชตายได้

รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตรในวันที่ 28 ธ.ค. 59 - 3 ม.ค. 60

ปริมาณฝนสะสมเดือนธันวาคม ( 1-27 ธ.ค.) ประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 25 มม. เป็นส่วนใหญ่ สำหรับภาคใต้มปริมาณฝนสะสม 50-1,200 มม. โดยทางภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีฝน 600-1,200 มม.

ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนสะสมน้อย ซึ่งปริมาณฝนสะสม 1-25 มม. สำหรับภาคใต้มีปริมาณฝนสะสม 10-200 มม.เป็นส่วนใหญ่ โดยภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างมีฝนตกสะสมมากที่สุด โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 50-200 มม. ส่วนทางตอนบนมีฝนน้อยโดยมีค่าต่ำกว่า 50 มม.

ศักย์การคายระเหยน้ำ บริเวณประเทศไทยมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 20-35 มม.

สมดุลน้ำ บริเวณประเทศไทยตอนบนมีค่าเป็นลบเป็นส่วนใหญ่ โดยมีค่าสมดุลน้ำสะสม(-20)(-30) มม. สำหรับบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกส่วนใหญ่มีค่าสมดุลน้ำเป็นบวกเนื่องจากมีฝนตกหนัก โดยมีค่าสมดุลน้ำสะสม 10-200 มม. โดยบริเวณภาคใต้ตอนบนมีค่าสมดุลน้ำเป็นลบและทางตอนล่างของภาคมีค่าสมดุลน้ำเป็นบวกมากที่สุดคือ 150-200 มม.

คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาประเทศไทยตอนบนมีฝนตกเล็กน้อย ซึ่งมีค่าน้อยกว่าการคายระเหยของน้ำ ทำให้ค่าสมดุลน้ำเป็นลบ และค่าสมดุลน้ำเป็นลบ และในช่วง 7 วันข้างหน้าจะมีฝนน้อย ดังนั้นเกษตรกรควรให้น้ำแก่พืชอย่างเพียงพอ และคลุมพื้นที่บริเวณแปลงปลูกที่ปลูกด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดินรักษาความชื้นภายในดิน สำหรับภาคใต้เฉพาะฝั่งตะวันออกจะยังคงมีฝนตกหนัก พื้นที่การเกษตรที่ถูกน้ำท่วม เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูก อย่าให้มีน้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชเน่าต้นพืชตายได้ รวมทั้งควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราในพืชสวนและพืชผัก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ