พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 30 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ข่าวทั่วไป Monday July 30, 2018 15:04 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ออกประกาศวันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 91/61

การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค. บริเวณประเทศไทยส่วนมากยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักบางแห่งสำหรับทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 1-5 ส.ค. ประเทศไทยจะมีฝนลดลง เว้นแต่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงมีฝนต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง

คำเตือน ในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค. บริเวณประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับบริเวณอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันจะมีคลื่นลมแรง ชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

คำแนะนำสำหรับการเกษตร

ภาคเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ตลอดช่วง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว15-30 กม./ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90%

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วงกับมีฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยดูแลระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
  • ไม้ผลที่อยู่ในระยะผลแก่และเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะลำไยเกษตรกรควรระวังและป้องกันสัตว์ศัตรูพืช เช่น แมลงวันทองผีเสื้อมวนหวาน และค้างคาว ซึ่งจะดูดน้ำหวานและกัดกินผลทำให้ผลเน่า และเกิดโรคพืชจากเชื้อรา ซึ่งอาจลุกลามไปสู่ผลและต้นพืชอื่นๆ ได้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ตลอดช่วง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว15-30 กม./ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์75-85 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ระยะนี้จะมีฝนตกชุก เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ควรหลีกเลี่ยงการปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่ชื้นแฉะเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้สัตว์เลี้ยงอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย โดยเฉพาะโรคปากและเท้าเปื่อยในสัตว์เท้ากีบ เช่น โคและกระบือ เป็นต้น
  • พื้นที่ซึ่งมีน้ำท่วมขัง เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่สกปรก หากมีความจำเป็นต้องเดินลุยน้ำ ควรสวมรองเท้าบูททุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิส หรือโรคฉี่หนู

ภาคกลาง

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 30 -31 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่1-5 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • พื้นที่การเกษตรที่อยู่ในที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำในแปลงปลูกพืชให้มีประสิทธิภาพ โดยดูแลคูคลองอย่าให้ตื้นเขิน ให้น้ำไหลได้สะดวก รวมทั้งจัดเตรียมวัสดุสำหรับกั้นน้ำและอุปกรณ์สำหรับสูบน้ำเอาไว้ให้พร้อมใช้งาน
  • ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำ ไม่ควรปล่อยให้น้ำ ฝนที่ตกบนดินไหลลงบ่อ เพราะจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยนสัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออก

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตรบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 1-5 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียสความชื้นสัมพัทธ์ 80-90 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงที่มีฝนตกต่อเนื่องทำให้ดินและอากาศมีความชื้นสูงเกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผักต่างๆ ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ
  • สวนผลไม้ที่อยู่ในที่ลุ่ม เกษตรกรไม่ควรปล่อยให้น้ำท่วมขังในพื้นที่เพาะปลูกและโคนต้นพืชเป็นเวลานานเพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศ ต้นพืชตายได้
  • ในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค. บริเวณอ่าวไทยตอนบนจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

ภาคใต้

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนบนของภาคตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา: ลมตะวันตกเฉียงใต้ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 1-5 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตรห่างฝั่งมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศา เซลเซียสความชื้นสัมพัทธ์ 75-85 %

ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ตั้งแต่จังหวัดพังงาขึ้นมา: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว20-45 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตลงไป: ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 1-5 ส.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค. บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยดูแลระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
  • ในช่วงที่มีฝนตกต่อเนื่องโดยเฉพาะใต้ฝั่งตะวันตก ทำให้ดินและอากาศมีความชื้นสูง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคราสนิมในกาแฟ โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคหน้ากรีดยาง และโรคราสีชมพูในยางพารา เป็นต้น โดยดูแลพื้นที่เพาะปลูกให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นที่สะสมภายในสวน
  • ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีฝนตกและหยุดสลับกันสภาพอากาศเหมาะแก่การระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอนในพืชสวนและพืชผัก ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะกัดกินส่วนที่อ่อน ของพืชทำให้ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ
  • ในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค. บริเวณทะเลอันดามันจะมีคลื่นสูง2-4 เมตร ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง
รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตร ในช่วงวันที่ 30 ก.ค. - 5 ส.ค. 2561

ปริมาณฝนสะสมเดือนกรกฎาคม (ในช่วงวันที่ 1-29 ก.ค.) ประเทศไทยส่วนใหญ่มีปริมาณฝนสะสม 50-800 มม. โดยทางตอนกลางของประเทศไทยตอนบน และบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างมีปริมาณฝนสะสมน้อยกว่าบริเวณอื่นปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา (ในช่วงวันที่ 23-29 ก.ค.) ประเทศไทยมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 400 มม. เป็นส่วนใหญ่โดยในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตก ภาคตะวันออกตอนล่าง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีปริมาณฝนสะสมน้อยกว่าบริเวณอื่น

ศักย์การคายระเหยน้ำสะสม ประเทศไทยมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 15-30 มม. เว้นแต่บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 30-35 มม.

สมดุลน้ำสะสม ประเทศไทยส่วนใหญ่มีค่าสมดุลน้ำสะสมเป็นบวก คือ 1-200 มม. เว้นแต่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกตอนล่าง และภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบนและตอนกลาง มีค่าสมดุลน้ำสะสม (-1) - (-40)มม.

คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรายงานฝนตกหนักหลายพื้นที่และฝนตกหนักมากบางพื้นที่ สำหรับในช่วง7 วันข้างหน้า ประเทศไทยจะมีฝนกับตกหนักบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยดูแลคูคลอง และทางระบายน้ำอย่าให้ตื้นเขินหรือติดขัด น้ำสามารถไหลได้สะดวก เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังแปลงปลูก และในพื้นที่ซึ่งมีฝนตกติดต่อกัน เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ในพืชไร่ ไม้ผล ไม้ดอก และพืชผัก ตลอดจนข้าวนาปี ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพส่วนพื้นที่ซึ่งมีน้ำท่วม เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคฉี่หนู โรคตาแดง น้ำกัดเท้า และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ