บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด
(มหาชน) เป็นระดับ “BB+” จากระดับ “BB” ด้วยแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงภาระหนี้ที่
ลดลงหลังจากที่บริษัทได้เพิ่มทุนและชำระหนี้ผูกพันทั้งหมดตามข้อตกลงในการปรับโครงสร้างหนี้และเพิ่มทุนแล้ว อย่างไรก็ตาม
อันดับเครดิตมีแรงกดดันจากความยืดหยุ่นทางการเงินและฐานะทางการเงินของบริษัทที่ยังมีข้อจำกัดแม้เงินทุนของบริษัทจะแข็ง
แกร่งขึ้นหลังการเพิ่มทุนก็ตาม การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจและการตอบสนองจากตลาด
ต่อการกลับเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท รวมถึงผลงานในการดำเนินธุรกิจใหม่ (ธุรกรรมซื้อคืน
ภาคเอกชน และธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์) ที่ยังมีไม่มากนัก ตลอดจนการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด คือ ตลาดหลัก
ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) รวมทั้งระบบงานที่ดีซึ่งช่วยสนับสนุนธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ และฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น
ในปี 2553 ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าตลาดหลักทรัพย์จะมีแนว
โน้มในเชิงบวกและบริษัทสามารถปรับปรุงการดำเนินธุรกิจและผลประกอบการทางการเงินให้สอดคล้องกับแนวโน้มของ
อุตสาหกรรมได้ นอกจากนี้ การพิจารณาแนวโน้มอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความคาดหมายที่บริษัทจะได้รับการสนับสนุนจาก ต.ล.
ท. ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดด้วย ทั้งนี้ ความสามารถในการฟื้นฐานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ตลอดจน
การดำเนินธุรกิจใหม่ให้เป็นไปตามแผน และการเข้าถึงเงินทุนจากหลายแหล่งยังเป็นสิ่งที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์บรรลุข้อตกลงในการปรับโครงสร้างหนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2552
และในวันที่ 22 กรกฎาคม 2552 สามารถบรรลุเงื่อนในการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการเพิ่มทุนอย่างน้อย 1,000 ล้านบาทจากผู้
ถือหุ้นที่มีอยู่ รวมถึงจากผู้ถือหุ้นรายใหม่ และจากการแปลงหนี้เป็นทุน เงินเพิ่มทุนใหม่จำนวน 1,016.74 ล้านบาท (ราคาพาร์
10 บาทต่อหุ้น) ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของบริษัทโดยเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 30% จากระดับ
0.92% ณ เดือนมีนาคม 2552 หลังจากการเพิ่มทุนแล้ว ต.ล.ท. ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทในสัดส่วน 24.66%
ตามด้วยกระทรวงการคลัง (10.56%) ธนาคารกรุงไทย (6.02%) ธนาคารออมสิน (4.92%) ธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง
(17.72%) บริษัทหลักทรัพย์ 36 แห่ง (16.99%) กองทุนที่บริหารโดยบริษัทจัดการกองทุน 14 แห่ง (14.85%) และบริษัท
ประกัน 9 แห่ง (4.28%)
ภายใต้ข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้ทุกรายได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน โดยหนี้ตามข้อผูกพันมีจำนวนทั้งสิ้น 8,725
ล้านบาท และบริษัทใช้เงินจากสถาบันการเงินหลัก 4 แห่งมาชำระคืนเจ้าหนี้ตามข้อผูกพันไปแล้วทั้งหมดภายในวันที่ 21 มิถุนายน
2553 อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นทางการเงินและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังมีข้อจำกัดซึ่งอาจทำให้บริษัทมีความ
เสี่ยงในการหาแหล่งเงินทุนใหม่เพื่อนำมาชำระหนี้ในอนาคต
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงเผชิญกับความท้าทายในธุรกิจหลักเนื่องจากความไม่แน่นอนของปัจจัย
แวดล้อมในการดำเนินธุรกิจและการตอบสนองจากตลาดหลังจากบริษัทกลับเข้าสู่ธุรกิจการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ภายหลัง
วิกฤตการเงินในปี 2551 ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงจาก 27%-28% ในช่วงปี 2549-
2550 เป็น 22% ในปี 2551 และ 12% ณ เดือนมิถุนายน 2553 บริษัทมียอดสินเชื่อและลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์รวมจำนวน
2,857 ล้านบาทในปี 2552 ลดลง 24% จากปี 2551 ณ เดือนกันยายน 2553 สินเชื่อและลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ขยายตัวจาก
ปลายปี 2552 ในอัตรา 9% เป็นจำนวน 3,126 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาถึงแผนธุรกิจแล้วถือว่าบริษัทยังมีช่องทางในการทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนและธุรกรรมยืมและให้ยืมหลัก
ทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ แต่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพยังเป็นสิ่งที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป อย่าง
ไรก็ตาม คณะผู้บริหารยังต้องการเวลาในการสร้างผลงานและบรรลุผลสำเร็จในการขยายตลาดตามแผนธุรกิจ
ณ เดือนกันยายน 2553 บริษัทมีขนาดของสินทรัพย์ที่จำนวน 3,162 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 20% จาก
3,955 ล้านบาท ณ ปลายปี 2552 ในปี 2552 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจำนวน 1,010 ล้านบาทจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งทำ
ให้บริษัทมีผลขาดทุน 858 ล้านบาทในปีดังกล่าว สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 บริษัทรายงานกำไรสุทธิจำนวน 64
ล้านบาทโดยผลประกอบการทางการเงินค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2553 หลังจากความสำเร็จในการเพิ่มทุน
ในเดือนกรกฎาคม 2552 แล้ว บริษัทก็มีฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น
จาก 0.71% ในปี 2551 เป็น 29.3% ในปี 2552 และ ณ เดือนกันยายน 2553 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 38.24% ทริสเรทติ้งกล่า
ว -- จบ