แท็ก
เครดิต
กรุงเทพ--14 ก.ย.--ทริส
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2541 บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ประกาศเครดิตวาระธุรกิจการเงินไทยโดยกล่าวว่าเศรษฐกิจไทยได้ทรุดตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยที่ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศคาดว่าจะหดตัวลงประมาณ 7-8% ในปี 2541 ภาวะความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่รุนแรง ได้สร้างแรงกดดันต่อความอยู่รอดของทั้งภาคธุรกิจและภาคธุรกิจทั่วไปอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้อันดับเครดิตองค์กรของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บรรษัท) ลดลงเป็น A- จากเดิมที่ A รวมทั้งอันดับเครดิตของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ได้แก่ อันดับเครดิตองค์กรลดลงเป็น BBB จากเดิมที่ A- และอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันมูลค่า 7,500 ล้านบาท ลดลงเป็น BBB- จากเดิมที่ BBB+
ทริสกล่าวว่า การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความจำเป็นภายใต้กฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการจัดชั้นหนี้ และการตั้งสำรองนั้นยังไม่มีการดำเนินการเพียงพอที่จะรองรับผลขาดทุนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้น และรองรับความต้องการสินเชื่อที่แท้จริง แผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินของทางการที่ประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2541 แสดงถึงความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาผ่านกระบวนการให้ความสนับสนุนทางการเงินทุนของรัฐ และเร่งกระตุ้นให้มีการปรับโครงสร้างหนีของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ยังจะต้องติดตามการดำเนินการและผลปฎิบัติของแผนฟื้นฟูต่อไป ในระยะสั้น ธุรกิจการเงินไทยจะยังคงอยู่ในสภาพที่อ่อนไหวและล่อแหลมต่อปัจจัยความเชื่อมั่นต่าง ๆ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศได้เริ่มมีการปรับตัวลดลงแล้วก็ตาม แนวโน้มในระยะต่อไปของธุรกิจการเงินจะขึ้นอยู่กับระดับความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
ทั้งนี้ ผลอันดับเครดิตของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยใช้แทนประกาศ "เครดิตพินิจ" ของทริสเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2541 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีคำสั่งให้มีการลดทุนและเปลี่ยนผู้บริหารของบริษัทเงินทุน เฟิสท์ ซิตี้ อินเวสเมนท์ จำกัด (มหาชน) (FCI) และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอเอฟซีที จำกัด (มหาชน) (IFCTF) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบรรษัท อันดับเครดิตที่ลดลงสะท้อนถึงปัญหาทางด้านคุณภาพสินทรัพย์ และความกดดันทางด้านการเงินที่เพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างบรรษัทและรัฐบาล รวมทั้งบทบาทของบรรษัทในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศยังคงเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบรรษัท และช่วยให้บรรษัทดำรงความยืดหยุ่นทางการเงินให้อยู่ในระดับที่พอเพียงได้
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศ และนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดเพื่อรักษาเสถียรภาพเงินบาทของรัฐบาล มีผลผลักดันให้สินเชื่อที่ถูกจัดชั้นของบรรษัทเพิ่มขึ้นเป็น 17.5% ของสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2541 สำรองหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นและผลขาดทุนจำนวนมากที่เกิดจากบริษัทย่อยและการลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ส่งผลให้บรรษัทมีผลขาดทุนงวดครึ่งปีประมาณ 3,011 ล้านบาท สำรองหนี้สูญจำนวน 4,853 ล้านบาทคาดว่าจะอยู่ในระดับที่เพียงพอ ภายใต้กฎเกณฑ์ารตั้งสำรองหนี้สูญใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย เงินกองทุนขั้นที่สองที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันจากการออกหนี้ด้วยสิทธิจำนวน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยให้บรรษัทสามารถดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามกฏเกณฑ์ BIS ที่ 8.7% ณ เดือนมิถุนายน 2541 ได้ แผนการเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของบรรษัทจำนวนประมาณ 5,000 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการและคาดว่าจะมีผลสรุปภายในต้นปี 2542 การแทรกแซงจากทางการในกรณีของ FCI และ IFCTF ทำให้บรรษัทมีผลขาดทุนจากการลงทุนในบริษัททั้งสองแห่งจำนวนประมาณ 3,773 ล้านบาท แม้ว่าผลขาดทุนเกือบทั้งหมดทางบรรษัทได้รับรู้ไปแล้วก็ตาม แต่เงินให้กู้ยืมซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินให้กู้ยืมเผื่อเรียกที่บรรษัทให้แก่บริษัทย่อยทั้งสองแห่งอาจมีผลกระทบเล็กน้อยต่อการจัดการด้านสภาพคล่องของบรรษัท เนื่องจากระยะเวลาในการได้รับชำระคืนขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างบรรษัท และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน แม้ว่าเงินให้กู้ยืมดังกล่าววจะได้รับการค้ำประกันอย่างเต็มที่ก็ตาม
นอกจากนี้ ทริสยังกล่าวว่าอันดับเครดิตของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ใช้แทนประกาศ "เครดิตพินิจ" ของทริสเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารกสิกรไทยประกาศแผนการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทเงินทุน ภัทรธนกิจ จำกัด (มหาชน) จาก 49% เป็น 100%
อันดับเครดิตที่ลดลง เป็นผลจากคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้สถานภาพทางการเงินของธนาคารด้อยลงมาก แม้ว่าธนาคารจะมีสถานะเป็นผู้นำในธุรกิจการธนาคารและมีความสามารถในการแข่งขันที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่สภาวะแวดล้อมในการประกอบธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีความยากลำบากมากขึ้นได้ทำให้ความเสี่ยงทางธุรกิจของธนาคารเพิ่มสูงขึ้น
หนี้ค้างชำระเกินกว่า 6 เดือนของธนาคารอยู่ที่ระดับสูงถึง 23.3% ของเงินให้สินเชื่อทั้งหมด เงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 38,799 ล้านบาท ณ ปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดีพอควรภายใต้กฎเกณฑ์การตั้งสำรองใหม่ของทางการที่กำหนดให้มีการทยอยตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจนถึงปี 2543 อย่างไรก็ตาม การตั้งค่าเผื่อดังกล่าวและส่วนต่าง อัตราดอกเบี้ยที่แคบลงซึ่งเกิดจากต้นทุนระดมทุนที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารมีผลขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2541 จำนวน 3,915 ล้านบาท
ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น จากการลดมูลค่าของเงินทุนในหลักทรัพย์ของธนาคารในจำนวนที่สูงยังได้ส่งผลให้ฐานเงินทุนของธนาคารลดต่ำลงจากเดิม โดยผลขาดทุนดังกล่าวได้รวมถึงการขาดทุนจากเงินลงทุนใน บง.ภัทรธนกิจที่ธนาคารได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นเป็น 100% ซึ่งจะทำให้มูลค่าเงินลงทุนในภัทรธนกิจเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นทั้งสิ้น 7,077 ล้านบาท วงเงินอาวัลจำนวน 29,555 ล้านบาท ของธนาคารสำหรับตั๋วสัญญาใช้เงินและบัตรเงินฝากที่สามารถเปลี่ยนมือได้ของภัทรธนกิจได้รับการค้ำประกันเต็มจำนวนจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จึงทำให้ผลขาดทุนจากการลงทุนในภัทรธนกิจที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปมีค่อนข้างจำกัด อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามกฎเกณฑ์ BIS ของธนาคารเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 16.9% ณ เดือนมิถุนายน 2541 ฐานเงินกองทุนของธนาคาร ณ ปัจจุบันน่าจะเพียงพอในการรองรับแรงกดดันจากคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่ยังคงมีอยู่และการขยายธุรกิจในระดับที่ค่อนข้างต่ำในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
หมายเหตุ : ทริสจะประกาศ "เครดิตวาระ" เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่มีผลกระทบต่อธุรกิจหรือการเงินของหน่วยงานที่ทริสเคยจัดอันดับเครดิตไปแล้ว หรือเมื่อหน่วยงานดังกล่าวออกตราสารหนี้ใหม่ หรือเมื่อมีการยกเลิกอันดับเครดิตเดิม โดยทริสจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมจากที่เคยประกาศใน "ข่าวเครดิต" แล้ว--จบ--
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2541 บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ประกาศเครดิตวาระธุรกิจการเงินไทยโดยกล่าวว่าเศรษฐกิจไทยได้ทรุดตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยที่ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศคาดว่าจะหดตัวลงประมาณ 7-8% ในปี 2541 ภาวะความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่รุนแรง ได้สร้างแรงกดดันต่อความอยู่รอดของทั้งภาคธุรกิจและภาคธุรกิจทั่วไปอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้อันดับเครดิตองค์กรของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บรรษัท) ลดลงเป็น A- จากเดิมที่ A รวมทั้งอันดับเครดิตของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ได้แก่ อันดับเครดิตองค์กรลดลงเป็น BBB จากเดิมที่ A- และอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันมูลค่า 7,500 ล้านบาท ลดลงเป็น BBB- จากเดิมที่ BBB+
ทริสกล่าวว่า การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความจำเป็นภายใต้กฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการจัดชั้นหนี้ และการตั้งสำรองนั้นยังไม่มีการดำเนินการเพียงพอที่จะรองรับผลขาดทุนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้น และรองรับความต้องการสินเชื่อที่แท้จริง แผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินของทางการที่ประกาศ ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2541 แสดงถึงความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาผ่านกระบวนการให้ความสนับสนุนทางการเงินทุนของรัฐ และเร่งกระตุ้นให้มีการปรับโครงสร้างหนีของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ยังจะต้องติดตามการดำเนินการและผลปฎิบัติของแผนฟื้นฟูต่อไป ในระยะสั้น ธุรกิจการเงินไทยจะยังคงอยู่ในสภาพที่อ่อนไหวและล่อแหลมต่อปัจจัยความเชื่อมั่นต่าง ๆ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศได้เริ่มมีการปรับตัวลดลงแล้วก็ตาม แนวโน้มในระยะต่อไปของธุรกิจการเงินจะขึ้นอยู่กับระดับความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
ทั้งนี้ ผลอันดับเครดิตของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยใช้แทนประกาศ "เครดิตพินิจ" ของทริสเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2541 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีคำสั่งให้มีการลดทุนและเปลี่ยนผู้บริหารของบริษัทเงินทุน เฟิสท์ ซิตี้ อินเวสเมนท์ จำกัด (มหาชน) (FCI) และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอเอฟซีที จำกัด (มหาชน) (IFCTF) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบรรษัท อันดับเครดิตที่ลดลงสะท้อนถึงปัญหาทางด้านคุณภาพสินทรัพย์ และความกดดันทางด้านการเงินที่เพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างบรรษัทและรัฐบาล รวมทั้งบทบาทของบรรษัทในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศยังคงเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบรรษัท และช่วยให้บรรษัทดำรงความยืดหยุ่นทางการเงินให้อยู่ในระดับที่พอเพียงได้
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศ และนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดเพื่อรักษาเสถียรภาพเงินบาทของรัฐบาล มีผลผลักดันให้สินเชื่อที่ถูกจัดชั้นของบรรษัทเพิ่มขึ้นเป็น 17.5% ของสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2541 สำรองหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นและผลขาดทุนจำนวนมากที่เกิดจากบริษัทย่อยและการลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ส่งผลให้บรรษัทมีผลขาดทุนงวดครึ่งปีประมาณ 3,011 ล้านบาท สำรองหนี้สูญจำนวน 4,853 ล้านบาทคาดว่าจะอยู่ในระดับที่เพียงพอ ภายใต้กฎเกณฑ์ารตั้งสำรองหนี้สูญใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย เงินกองทุนขั้นที่สองที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันจากการออกหนี้ด้วยสิทธิจำนวน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยให้บรรษัทสามารถดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามกฏเกณฑ์ BIS ที่ 8.7% ณ เดือนมิถุนายน 2541 ได้ แผนการเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของบรรษัทจำนวนประมาณ 5,000 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการและคาดว่าจะมีผลสรุปภายในต้นปี 2542 การแทรกแซงจากทางการในกรณีของ FCI และ IFCTF ทำให้บรรษัทมีผลขาดทุนจากการลงทุนในบริษัททั้งสองแห่งจำนวนประมาณ 3,773 ล้านบาท แม้ว่าผลขาดทุนเกือบทั้งหมดทางบรรษัทได้รับรู้ไปแล้วก็ตาม แต่เงินให้กู้ยืมซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินให้กู้ยืมเผื่อเรียกที่บรรษัทให้แก่บริษัทย่อยทั้งสองแห่งอาจมีผลกระทบเล็กน้อยต่อการจัดการด้านสภาพคล่องของบรรษัท เนื่องจากระยะเวลาในการได้รับชำระคืนขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างบรรษัท และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน แม้ว่าเงินให้กู้ยืมดังกล่าววจะได้รับการค้ำประกันอย่างเต็มที่ก็ตาม
นอกจากนี้ ทริสยังกล่าวว่าอันดับเครดิตของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ใช้แทนประกาศ "เครดิตพินิจ" ของทริสเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารกสิกรไทยประกาศแผนการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทเงินทุน ภัทรธนกิจ จำกัด (มหาชน) จาก 49% เป็น 100%
อันดับเครดิตที่ลดลง เป็นผลจากคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้สถานภาพทางการเงินของธนาคารด้อยลงมาก แม้ว่าธนาคารจะมีสถานะเป็นผู้นำในธุรกิจการธนาคารและมีความสามารถในการแข่งขันที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่สภาวะแวดล้อมในการประกอบธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีความยากลำบากมากขึ้นได้ทำให้ความเสี่ยงทางธุรกิจของธนาคารเพิ่มสูงขึ้น
หนี้ค้างชำระเกินกว่า 6 เดือนของธนาคารอยู่ที่ระดับสูงถึง 23.3% ของเงินให้สินเชื่อทั้งหมด เงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 38,799 ล้านบาท ณ ปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดีพอควรภายใต้กฎเกณฑ์การตั้งสำรองใหม่ของทางการที่กำหนดให้มีการทยอยตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจนถึงปี 2543 อย่างไรก็ตาม การตั้งค่าเผื่อดังกล่าวและส่วนต่าง อัตราดอกเบี้ยที่แคบลงซึ่งเกิดจากต้นทุนระดมทุนที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารมีผลขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2541 จำนวน 3,915 ล้านบาท
ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น จากการลดมูลค่าของเงินทุนในหลักทรัพย์ของธนาคารในจำนวนที่สูงยังได้ส่งผลให้ฐานเงินทุนของธนาคารลดต่ำลงจากเดิม โดยผลขาดทุนดังกล่าวได้รวมถึงการขาดทุนจากเงินลงทุนใน บง.ภัทรธนกิจที่ธนาคารได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นเป็น 100% ซึ่งจะทำให้มูลค่าเงินลงทุนในภัทรธนกิจเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นทั้งสิ้น 7,077 ล้านบาท วงเงินอาวัลจำนวน 29,555 ล้านบาท ของธนาคารสำหรับตั๋วสัญญาใช้เงินและบัตรเงินฝากที่สามารถเปลี่ยนมือได้ของภัทรธนกิจได้รับการค้ำประกันเต็มจำนวนจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จึงทำให้ผลขาดทุนจากการลงทุนในภัทรธนกิจที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปมีค่อนข้างจำกัด อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามกฎเกณฑ์ BIS ของธนาคารเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 16.9% ณ เดือนมิถุนายน 2541 ฐานเงินกองทุนของธนาคาร ณ ปัจจุบันน่าจะเพียงพอในการรองรับแรงกดดันจากคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่ยังคงมีอยู่และการขยายธุรกิจในระดับที่ค่อนข้างต่ำในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
หมายเหตุ : ทริสจะประกาศ "เครดิตวาระ" เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่มีผลกระทบต่อธุรกิจหรือการเงินของหน่วยงานที่ทริสเคยจัดอันดับเครดิตไปแล้ว หรือเมื่อหน่วยงานดังกล่าวออกตราสารหนี้ใหม่ หรือเมื่อมีการยกเลิกอันดับเครดิตเดิม โดยทริสจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมจากที่เคยประกาศใน "ข่าวเครดิต" แล้ว--จบ--