ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. ไทยโซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่” เป็น “BBB-” จาก “BBB” และเปลี่ยนแนวโน้ม เป็น “Stable” จาก “Negative”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 30, 2020 17:02 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ไทยโซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เป็น ?BBB-? จาก ?BBB" พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? จาก ?Negative? หรือ ?ลบ? การลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าภาระหนี้สินของ บริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทหรือ โครงการโอนิโกเบ รวมไปถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการซื้อหรือลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ อีกในอนาคต

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงจากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของบริษัท และผลการดำเนินงานที่ดีของโรงไฟฟ้าดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวได้รับถูกลดทอนลงจากภาระหนี้ที่จะสูงขึ้นของบริษัทในระยะเวลาอันใกล้นี้

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

กระแสเงินสดที่มั่นคงจากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้า

ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทจะยังมั่นคงในอนาคตจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้รับซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งทั้งหมดที่ 355.8 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตตามสัญญาอยู่ที่ 304.9 เมกะวัตต์ โดยประมาณ 90% ของกำลังการผลิตตามสัญญานั้นมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในขณะที่ กำลังการผลิตส่วนที่เหลือมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล

การลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงสร้างกระแสเงินสดหลักให้แก่บริษัท คิดเป็นประมาณ 75% ของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของทั้งหมด ซึ่งกระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีความเสถียร และสามารถคาดการณ์ได้อันเป็นผลมาจากความเสี่ยงในปฏิบัติการที่ต่ำของโรงไฟฟ้าดังกล่าว

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้ารวมกำลังการผลิตตามสัญญาประมาณ 171.9 เมกะวัตต์ได้ดำเนินการผลิตไฟฟ้าแล้วในปัจจุบัน ในส่วนที่เหลืออีก 133 เมกะวัตต์จะมาจากโครงการโอนิโกเบ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565

โรงไฟฟ้าพลังงานยังคงมีผลดำเนินงานที่ดี

โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ของบริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ โดยปริมาณไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ในปี 2562 เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 402.9 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (GWh) จาก 251.4 GWh ในปี 2561 หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 60% อันเป็นผลจากการผลิตไฟฟ้าเต็มปีของโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ผลผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 216.3 GWh จาก 200.6 GWh ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 7.8%

โครงการพลังงานแสงอาทิตย์หลักของบริษัทซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 10 แห่งที่มีกำลังการผลิตตามสัญญารวม 80 เมกะวัตต์นั้น ยังคงผลิตไฟฟ้าได้สูงกว่าระดับความน่าจะเป็นที่ผลิตได้ที่ 50% (P50) ประมาณ 5%-10% ในขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าชีวมวลก็มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเช่นกันโดยพิจารณาจากอัตราการเดินกำลังการผลิตที่สูงและผลกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น โรงไฟฟ้าสองแห่งสร้างผลกำไรส่วนใหญ่ให้แก่บริษัท โดยคิดเป็นประมาณ 85% ของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายทั้งหมดในปี 2562

สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทาย

ทริสเรทติ้งมองว่าความน่าสนใจของการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยนั้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเฟื่องฟูในหลายปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนในประเทศไทยทำให้การลงทุนใหม่ ๆ มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น จากการหยุดให้การสนันสนุนอัตราค่าไฟฟ้า แนวโน้มการแข่งขันด้านการประมูลราคาที่รุนแรงยิ่งขึ้น และผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลง นอกจากนี้ แม้รัฐบาลมีความพยายามที่จะสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน แต่การเปิดประมูลในโครงการใหม่ ๆ ของภาครัฐบาลยังคงล่าช้า ซึ่งส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการหันไปทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้าเอกชน หรือออกไปหาโอกาสในต่างประเทศแทน จากโอกาสการลงทุนที่จำกัด ทริสเรทติ้งคาดว่าการควบรวมกิจการ หรือการขายการลงทุนในโครงการที่มีอยู่เดิมจะมีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรม

บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ 100-300 เมกะวัตต์ในระยะกลาง โดยตั้งแต่ปี 2562 บริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตตามสัญญาทั้งหมด 31 เมกะวัตต์ซึ่งประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดำเนินการแล้วจำนวน 4 แห่ง (23 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (8 เมกะวัตต์) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนต่าง ๆ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการเติบโตของบริษัท โดยอาจจะซื้อโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าแล้วในประเทศไทย หรืออาจจะลงทุนในโครงการใหม่ในต่างประเทศด้วยเช่นกัน

ความเสี่ยงจากการลงทุนในโครงการโอนิโกเบ

ความแข็งแกร่งด้านเครดิตของบริษัทถูกลดทอนอย่างมากจากความเสี่ยงในการลงทุนในโครงการโอนิโกเบซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น โครงการนี้ถือเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท บริษัทเริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2560 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษารายได้ให้ยังคงเติบโต เนื่องจากโรงไฟฟ้าหลักซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่ 80 เมกะวัตต์ของบริษัทจะมีรายได้ลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จะเริ่มทยอยหมดอายุในปี 2566 และปี 2567

การลงทุนในโครงการนี้ได้สร้างแรงกดดันให้แก่สถานะเครดิตของบริษัท จากความจำเป็นที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและระยะเวลาที่ยาวนานในการพัฒนา กำลังการผลิตตามสัญญาของโครงการโอนิโกเบคิดเป็น 44% ของพอร์ตการลงทุนซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงจากลงทุนที่กระจุกตัวอย่างมีนัยสำคัญนอกจากนี้ บริษัทจะยังต้องแบกรับภาระหนี้เงินกู้จำนวนมากจนกว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อด้อยเหล่านี้สามารถชดเชยได้ด้วยที่ตั้งของโครงการที่อยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ อัตราจำหน่ายไฟฟ้าที่สูงถึง 36 เยนต่อหน่วย รวมถึงความเสี่ยงในการก่อสร้างและการดำเนินงานที่ต่ำของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทริสเรทติ้งเห็นว่า การเริ่มผลิตไฟฟ้าของโครงการจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางเครดิตของบริษัท ทั้งนี้ ด้วยขนาดของโครงที่ใหญ่และอัตราค่าจำหน่ายซื้อไฟฟ้าที่สูง โครงการจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงทางธุรกิจของบริษัท และยกระดับกระแสเงินสดของบริษัทเป็นระยะเวลานานเมื่อโครงการได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว

ภาระหนี้สินที่สูง

ในกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งในระหว่างปี 2563-2565 คาดว่าผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังมั่นคงและมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ประมาณ 1.4-1.55 พันล้านบาทต่อปี โดยโครงการโอนิโกเบจะถูกก่อสร้างตามแผนที่วางไว้และบริษัทจะยังคงถือหุ้นในโครงการ 100% ตลอดระยะเวลาการพัฒนา จากแผนเดิมที่จะจำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 40% ของโครงการ

ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทน่าจะอ่อนแอลงระหว่างการก่อสร้าง เนื่องจากบริษัทจะต้องลงทุนอีกประมาณ 9.4 พันล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2563-2565 สำหรับก่อสร้างโครงการโอนิโกเบ โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะใช้เงินกู้ยืมเป็นหลัก ทั้งนี้ เนื่องจากทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงหาโอกาสในการซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ หรืออาจจะเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ ๆ หากมีการเปิดประมูล ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าพอร์ตการลงทุนของบริษัทน่าจะยังคงเพิ่มอีกประมาณ 10-20 เมกะวัตต์ต่อปี นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จำกัดที่บริษัทจะเพิ่มทุนใหม่ ในขณะเดียวกันบริษัทอาจพิจารณาขายโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในมือเป็นทางเลือกในการระดมทุนแทน

จากกรณีพื้นฐานของทริสเรทติง คาดว่าอัตราส่วนของหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จะเพิ่มขึ้นและอยู่ที่ประมาณ 10 เท่าในระหว่างปี 2564-2565 ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผู้ผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนส่วนใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง อย่างไรก็ตาม คาดว่าระดับภาระหนี้สินของบริษัทน่าจะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อโครงการโอนิโกเบได้เริ่มดำเนินการ ในขณะเดียวกัน การจำหน่ายหุ้นของบริษัทบางส่วนในโครงการก็อาจจะช่วยทำให้ภาระหนี้สินของบริษัทลดลงด้วยเช่นกัน

สภาพคล่องยังคงสามารถจัดการได้

ในการประเมินสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท ทริสเรทติ้งได้รวมสินทรัพย์ หนี้สิน และผลการดำเนินงานทางการเงินตามลำดับของบริษัทร่วมค้าในงบการเงินรวมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการดังกล่าว ณ เดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีภาระหนี้สิ้นทั้งหมดอยู่ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 994 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าเพียงพอที่ครอบคลุมการชำระหนี้ดังกล่าว

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 2.2-2.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565

? อัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ในระดับสูงกว่า 60-63%

? เงินสำหรับการลงทุนจะอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2563-2565

? อัตราการจ่ายปันผล 30%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้ม ?Stable? หรือ"คงที่" สะท้อนให้ถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดี และสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังคาดว่าโครงการโอนิโกเบจะมีความคืบหน้าตามแผนที่กำหนดไว้และค่าใช้จ่ายในโครงการจะไม่สูงเกินกว่างบลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระหว่างการพัฒนาโครงการโอนิโกเบนั้นมีจำกัด อย่างไรก็ตาม การปรับอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจจะเกิดจากการจำหน่ายหุ้นบางส่วนในโครงการโอนิโกเบ หรือการเพิ่มทุนของบริษัทซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ลดลงต่ำกว่า 8 เท่า

ทั้งนี้ การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทด้อยลงไปอีก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้เป็นหลัก

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
  • วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ไทยโซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TSE)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2563 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ