ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 100.06 เยน จากระดับ 100.23 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9135 ฟรังค์ จากระดับ 0.9152 ฟรังค์
ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3500 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3490 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.6098 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6112 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.9376 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9361 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงสกุลเงินยูโร หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศแผนปฏิรูปในเชิงลึกและครอบคลุม รวมทั้งเปิดเผยโร้ดแมพในการพัฒนาประเทศต่อไป
นอกจากนี้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังได้รับแรงกดดันหลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ว่าที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดจะยังคงเดินหน้าใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป
ทั้งนี้ นางเยลเลนแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐว่า การผ่อนคลายทางการเงินในปัจจุบันควรดำเนินต่อไปในขณะนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเฟดจะยังเดินหน้าใช้มาตรการ QE ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย นายชาร์ส พลอสเซอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียกล่าว่วา เฟดควรจะยุติมาตรการ QE หรือโครงการซื้อสินทรัพย์ซึ่งปัจจุบันมีวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ขณะที่นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า เขามีมุมมองที่เป็นบวกอย่างมากต่อเศรษบกิจหสหรัฐ และคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าเขาอาจจะเรียกร้องให้เฟดชะลอการใช้ QE
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนต.ค.และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค.ในวันพุธ รวมทั้งดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค.ในวันพฤหัสบดี
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาดูการแถลงของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดในวันอังคารนี้ และรายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำวันที่ 29-30 ต.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธ ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพฤหัสบดี ตามเวลาไทย เพื่อประเมินสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคตของเฟด