นายดมิทรี เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรีรัสเซีย เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศทำสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบต่อรัสเซีย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ลงนามในร่างกฎหมายคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่เมื่อวานนี้
นายกฯรัสเซียได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงนามดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊กว่า "ความหวังที่จะยกระดับความสัมพันธ์กับรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐนั้นได้ดับสิ้นลงแล้ว"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในร่างกฎหมายการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่เมื่อวานนี้ หลังจากที่ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นจากสภาคองเกรสของสหรัฐ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐได้เรียกร้องให้ทางสภาคองเกรสเปิดทางให้ทำเนียบขาวมี "ความยืดหยุ่น" ในการจัดการกับรัสเซียก็ตาม
นายกฯรัสเซีย กล่าวว่า "กลุ่มอำนาจเก่าของสหรัฐมีอำนาจเหนือปธน.ทรัมป์อย่างสิ้นเชิง โดยปธน.ทรัมป์ไม่ได้ยินดีต่อมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ แต่ก็ปฏิเสธที่จะลงนามไม่ได้ด้วยเช่นกัน"
นายกฯรัสเซีย ระบุว่า ผลประโยชน์ของธุรกิจสหรัฐนั้นถูกมองข้ามเกือบทั้งหมด ขณะที่กระแสต่อต้านรัสเซียได้กลายเป็นส่วนสำคัญในนโยบายของสหรัฐทั้งระดับในและต่างประเทศ
นายเมดเวเดฟ เปิดเผยว่า การคว่ำบาตรได้ถูกผนวกรวมเป็นระบบ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลาหลายทศวรรษ เนื่องจากกฎหมายใหม่นี้เปิดทางให้สภาคองเกรสมีอำนาจในการขัดขวางประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ให้ยกเลิกการคว่ำบาตรรัสเซีย
นายเมดเวเดฟ กล่าวว่า "ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐจะเผชิญกับความตึงเครียดครั้งใหญ่ ไม่ว่าสภาคองเกรสจะมีองค์ประกอบเช่นไร หรือตัวประธานาธิบดีเองจะมีทัศนคติอย่างไร"
ด้วยเหตุนี้ รัสเซียจะเดินหน้าส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมโดยสงบ หันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น และเลิกพึ่งพาการนำเข้าจากชาติตะวันตก
เมื่อคืนนี้ ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในร่างกฎหมายคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่ หลังจากผ่านการรับรองจากสภาคองเกรสก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 98 ต่อ 2 ผ่านร่างกฎหมายคว่ำบาตรในระดับที่รุนแรงขึ้นต่อรัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ โดยการลงมติของวุฒิสภามีขึ้นเพียง 2 วันหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 419 ต่อ 3 เห็นชอบร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายคว่ำบาตรฉบับนี้เปิดทางให้สภาคองเกรสมีอำนาจในการขัดขวางประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ให้ยกเลิกการคว่ำบาตรรัสเซีย โดยเนื้อหาในร่างกฎหมายระบุว่า สภาคองเกรสจะมีอำนาจในการยกเลิกการตัดสินใจของประธานาธิบดี หากการตัดสินใจนั้นส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐในบริบทที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย