อุ่นเครื่องออสการ์: The Shape of Water ตัวเก็งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, โอลด์แมน-แมคดอร์มานด์ เต็งหนึ่งดารานำชาย-หญิงยอดเยี่ยม

ข่าวต่างประเทศ Sunday March 4, 2018 08:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ใกล้เข้ามาทุกทีกับงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 90 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 4 มี.ค. ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันจันทร์ที่ 5 มี.ค. ตามเวลาไทย โดยปีนี้หลายสำนักยกให้ The Shape of Water เป็นเต็งหนึ่งในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ส่วนรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมคาดว่าจะเป็นตกของ ฟรานเซส แมคดอร์มานด์ และนักแสดงชายยอดเยี่ยมจะเป็นของ แกรี โอลด์แมน

งานออสการ์ปีนี้จะจัดขึ้นที่ดอลบีเธียร์เตอร์ ในเมืองลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ ในวันอาทิตย์ที่ 4 มี.ค. ตั้งแต่เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (จันทร์ที่ 5 มี.ค. เวลา 7.00 น.ตามเวลาไทย)

สำหรับรายชื่อภาพยนตร์ นักแสดง และผู้กำกับที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ มีดังนี้

*สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

-- "Call Me by Your Name"

ภาพยนตร์เรื่อง "Call Me By Your Name" สร้างขึ้นจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ "อังเดร เอซิแมน" ผลงานกำกับของลูกา กัวดาญีโน เป็นภาพยนตร์ดราม่าแนวการเปลี่ยนผ่านของวัย บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์สุดโรแมนติก ระหว่าง "เอลิโอ เพิร์ลแมน" เด็กหนุ่มชาวยิว เชื้อสายอเมริกัน-อิตาลี วัย 17 ปี ซึ่งมีพ่อเป็นศาสตราจารย์โบราณคดี และ "โอลิเวอร์" นักศึกษาหนุ่มชาวอเมริกันวัย 24 ปีที่มาเป็นผู้ช่วยวิจัยของบิดาเอลิโอในช่วงฤดูร้อน ทางแถบชนบทตอนเหนือของอิตาลี ราวปีพ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) ทั้งคู่เริ่มใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น จนก่อเกิดเป็นความรู้สึกผูกพันธ์ และนำไปสู่ความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายในเวลาต่อมา ก่อนที่หน้าร้อนจะสิ้นสุดลงและโอลิเวอร์ต้องเดินทางกลับบ้านเกิดไม่ได้ทำให้ "เอลิโอ" ใจสลายไปกว่าการที่โอลิเวอร์โทรศัพท์มาบอกว่ากำลังจะแต่งงานกับแฟนสาวของเขาในเวลาอันใกล้

-- "Darkest Hour"

Darkest Hour (ชั่วโมงพลิกโลก) ภาพยนตร์แนวดราม่าการเมือง ผลงานของผู้กำกับ โจ ไรท์ ที่สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจของเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หนังบอกเล่าเรื่องราวในช่วงสัปดาห์แรกๆ ที่วินสตัน เชอร์ชิล (แกรี โอลด์แมน) รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษแทนนายกรัฐมนตรีเนวิลล์ แชมเบอร์เลน ท่ามกลางข้อกังขาและความไม่ไว้วางใจจากคนรอบข้าง ในช่วงเวลาที่ยุโรปกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากนาซีและมีไฟสงครามตลบอบอวลอยู่ทั่วทั้งภูมิภาค ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดเด่นตรงที่แม้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม แต่กลับไม่มีฉากรบเลือดสาดแบบภาพยนตร์สงครามทั่วๆไป หากแต่เป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์ของผู้นำประเทศที่ต้องพาประเทศให้รอดพ้นจากภัยสงคราม ด้วยการสื่ออารมณ์ออกมาให้คนดูรู้สึกกดดันและบีบคั้นไปพร้อมๆกับตัวละครหลักที่ต้องตัดสินใจในเหตุการณ์สำคัญๆ ผ่านองค์ประกอบภาพ แสง และเสียงที่ผสมผสานร้อยเรียงกันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

-- "Dunkirk"

Dunkirk (ดันเคิร์ก) เป็นภาพยนตร์แอคชั่นอิงประวัติศาสตร์ของผู้กำกับเลื่องชื่ออย่างคริสโตเฟอร์โนแลน เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปีค.ศ. 1940 ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทหารฝ่ายพันธมิตรได้แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส และเบลเยี่ยมจำนวน 3 แสนกว่านายกำลังเตรียมการอพยพด้วยเรือบนหาดดันเคิร์กของฝรั่งเศสหลังถูกกองทัพของทหารเยอรมนีไล่ต้อนเข้ามาเรื่อยๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีด้วยการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ผ่านมุมมองของตัวละครต่างๆในเหตุการณ์ และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขาด้วยกัน

-- "Get Out"

Get Out (ลวงร่างจิตหลอน) เป็นภาพยนตร์สยองขวัญของสหรัฐอเมริกา ผลงานการกำกับของจอร์แดน พีล และนำแสดงโดยแดเนียล คาลูยา ซึ่งทั้งสองได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ประจำปีนี้ด้วย Get Out บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหนุ่มผิวสีรายหนึ่งที่กำลังคบหาอยู่กับสาวผิวขาว ทั้งคู่ต้องเดินทางไปพบพ่อแม่ของฝ่ายสาวนอกเมือง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป หนุ่มผิวสีผู้นี้กลับรู้สึกได้ถึงพฤติกรรมแปลกๆของผู้คนรอบตัว ทั้งพ่อแม่ของฝ่ายสาวที่ดูให้การต้อนรับเกินเหตุ ไปจนถึงแขกผิวขาวรายอื่นๆที่มาเยือนบ้านหลังนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยเทคนิคการนำเสนอที่กระตุ้นให้ผู้ชมได้คิดและแฝงแง่คิดเรื่องสีผิวได้อย่างแนบเนียน

-- "Lady Bird"

คริสทีน "เลดี้เบิร์ด" แม็คเพียร์สัน (เซียร์ชา โรแนน) คือเด็กสาวมัธยมปลายโรงเรียนคาทอลิกผู้อยากโบยบินสู่โลกกว้าง เธอต้องการหนีวิถีชีวิตน่าเบื่อในเมืองซาคราเมนโตและไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นิวยอร์ก เรื่องราวจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกันระหว่างเด็กสาวหัวรั้นกับคุณแม่ผู้เข้มแข็ง (ลอรี เม็ตคาล์ฟ) ที่ต้องรับภาระดูแลครอบครัวหลังจากพ่อของเลดี้เบิร์ด (เทรซี เล็ตส์) ตกงาน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในอเมริกา

-- "Phantom Thread"

Phantom Thread เป็นเรื่องราวของเรย์โนลด์ส วู้ดค็อก (แดเนียล เดย์-ลูอิส) ช่างตัดเสื้อในสังคมชั้นสูงของกรุงลอนดอน ในยุค 1950 วู้ดค็อกอาศัยอยู่ในใจกลางกรุงลอนดอนกับน้องสาวของเขา ซิริล (เลสลีย์ แมนวิลล์) พวกเขาตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับเชื้อพระวงศ์ ดาราหนัง และบรรดาชนชั้นสูงของอังกฤษ วู้ดค็อกยังครองความเป็นโสดแม้มีหญิงสาวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต จนกระทั่งเขาได้พบกับอัลมา (วิคกี้ ครีปส์) หญิงสาวผู้เข้มแข็งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาในฐานะแรงบันดาลใจและคนรัก เขาพบว่าชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยวางแผนเอาไว้อย่างดีและอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาต้องสั่นคลอนด้วยความรัก

-- "The Post"

The Post (เอกสารลับเพนตากอน) ภาพยนตร์แนวดรามาเข้มข้น ผลงานการกำกับของสตีเวน สปีลเบิร์ก บอกเล่าเรื่องราวที่มีเค้าโครงจากเหตุการณ์จริงปี 1971 เกี่ยวกับความพยายามของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสท์ ในการตีพิมพ์ "เพนตากอน เปเปอร์ส" เอกสารลับรัฐบาลสหรัฐว่าด้วยการส่งทหารสหรัฐไปรบในสงครามเวียดนามครบคลุมช่วงเวลาประธานาธิบดีถึง 4 คน การเปิดโปงครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะแคทเธอรีน เกรแฮม กุมบังเหียนวอชิงตัน โพสท์ ท่ามกลางความท้าทายในยุคสมัยที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ทั้งยังเป็นการเดิมพันระหว่างหน้าที่ของสื่อมวลชนและความอยู่รอดของธุรกิจหนังสือพิมพ์เก่าแก่ที่อยู่คู่ดินแดนเสรีภาพแห่งนี้มายาวนาน The Post นำแสดงโดยเมอริล สตรีป และ ทอม แฮงค์ สองนักแสดงรางวัลออสการ์ที่โคจรมาพบกันในเรื่องนี้เป็นครั้งแรก

-- "The Shape of Water"

The Shape of Water (เดอะ เชพ ออฟ วอเทอร์) คือผลงานภาพยนตร์ความรักเหนือจินตนาการเรื่องล่าสุดจากกิเยร์โม เดลโตโร ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของ "เอไลซ่า" (แซลลี ฮอว์กินส์) หญิงใบ้ซึ่งเป็นพนักงานทำความสะอาดประจำศูนย์วิจัยลับของรัฐบาลอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม แต่แล้วชีวิตที่แสนซ้ำซากจำเจของเธอก็เปลี่ยนไป เมื่อศูนย์วิจัยได้นำ "สัตว์ประหลาด" ตนหนึ่งมาขังไว้ในสถานที่ทำงานของเธอ ซึ่งถึงแม้ทั้งสองจะไม่สามารถสื่อสารกันได้ด้วยเสียง แต่ด้วยสายสัมพันธ์บางอย่างที่เขาทั้งคู่มีร่วมกัน มิตรภาพอันไร้เสียงนั้น... ได้แปรเปลี่ยนเป็นความรัก และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ "เอไลซ่า" เลือกเอาชีวิตของเธอเป็นเดิมพัน เพื่อพาสัตว์ประหลาดที่เธอรักออกมาจากห้องทดลองให้ได้!

-- "Three Billboards Outside Ebbing, Missouri"

Three Billboards Outside Ebbing Missouri (3 บิลลอร์ด ทวงแค้นไม่เลิก) เรื่องราวของการทวงความยุติธรรมที่เกิดขึ้นในเมืองเอบบิง รัฐมิสซูรี เมื่อกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถนำตัวคนร้ายมาลงโทษได้ ทำให้ "มิลเดรด เฮย์ส" ผู้ที่สูญเสียลูกสาวซึ่งเป็นเหยื่อคดีฆ่าข่มขืนจึงต้องออกมาทำอะไรบางอย่างเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมนั้นให้แก่ตนเองและลูกสาว เมื่อการตามหาคนร้ายมาดำเนินคดีล่าช้าเกินกว่าที่เธอจะทนไหว มิลเดรด จึงตัดสินใจใช้วิธีซื้อป้ายโฆษณาบิลบอร์ด 3 ป้ายตรงทางเข้าเมืองเอบบิง พร้อมข้อความที่ต้องการกดดันให้ตำรวจเร่งดำเนินการจับตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว กลยุทธ์กดดันเช่นนี้จะทำให้มิลเดรดสมปรารถนาหรือไม่ ก็ต้องติดตามในภาพยนตร์ต่อไป

ภาพยนตร์เรื่อง Three Billboards Outside Ebbing Missouri เป็นภาพยนตร์ตลกร้ายเสียดสีสังคมที่ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเต็งชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (และสาขาอื่น ๆ ด้วย เช่น นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม นักแสดงสบทบชายยอดเยี่ยม) เพราะกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงานลูกโลกทองคำมาแล้ว ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา ต่อจากนี้ก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไปถึงฝั่งฝันโดยสามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์มาครอบครองได้สมใจหรือไม่

*สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

-- ทิโมธี ชาลาเมต – "Call Me by Your Name"

ทิโมธี ชาลาเมต นักแสดงหนุ่มดาวรุ่งชาวอเมริกันวัย 22 ปี เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2538 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชาย จากผลงานการแสดงเรื่อง "Call Me By Your Name" ในปีพ.ศ. 2560 ถือเป็นนักแสดงชายอายุน้อยสุด ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาดังกล่าว นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2482 นอกจากนี้ชาลาเมตยังแสดงในเรื่องเลดี้ เบิร์ด และก่อนหน้านั้นเคยฝากฝีมือการแสดงไว้ในภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง "Interstellar" เมื่อ 4 ปีก่อน ขณะเดียวกันก็เคยปรากฎตัวในภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์เรื่อง Homelands ด้วย

ขณะที่ผลงานการแสดงในบทบาท "เอลิโอ" ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทำให้ชาลาเมตได้รับ การเสนอชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงนำชาย ในงานประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำครั้งล่าสุด รวมถึงเข้าชิงรางวัลสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์หรือแซกอวอร์ดส และได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากสถาบันนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอส แอนเจลิส และสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ก

-- แดเนียล เดย์-ลูอิส – "Phantom Thread"

แดเนียล เดย์-ลูอิส เป็นนักแสดงเจ้าบทบาทชาวอังกฤษ ที่เคยฝากผลงานอันลือลั่นในภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย อาทิ A Room With a View, The Last of the Mohicans, The Age of Innocence, The Crucible และ The Boxer จนกระทั่งได้รับรางวัลออสการ์ดารานำชายยอดเยี่ยมมาครองถึง 3 รางวัล จากภาพยนตร์เรื่อง My Left Foot, There Will Be Blood และ Lincoln

แดเนียลประกาศว่า เขาต้องการอำลาวงการภาพยนตร์เพื่อกลับไปใช้ชีวิตส่วนตัว โดยคาดว่าภาพยนตร์เรื่อง Phantom Thread อาจเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตการแสดงของเขา

-- แดเนียล คาลูยา – "Get Out"

แดเนียล คาลูยา เป็นนักแสดงชาวอังกฤษ โดยมีพ่อและแม่เป็นผู้อพยพจากประเทศยูกันดา แดเนียล คาลูยา ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่อง "Get Out" ซึ่งเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แดเนียล คาลูยา รับบทบาทเป็นคริส วอชิงตัน ช่างภาพผิวสีที่คบหากับสาวผิวขาว และนอกเหนือจากรางวัลออสการ์แล้ว เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเช่นกัน ด้วยผลงานการแสดงที่จำเป็นต้องใช้เทคนิคหลากหลาย เนื่องจากตัวละครค่อนข้างมีความซับซ้อน

-- แกรี โอลด์แมน – "Darkest Hour"

แกรี โอลด์แมน นักแสดงมากฝีมือชาวอังกฤษวัย 59 ปี ผู้มีชื่อเสียงจากการรับบทเจมส์ กอร์ดอนในภาพยนตร์เรื่องแบทแมนในภาค แบทแมน บีกินส์, แบทแมน อัศวินรัตติกาล และ แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด และจากบทบาทซีเรียส แบล็กในภาพยนตร์ชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ล่าสุดเขาก็ได้ผลิกบทบาทตัวเองอีกครั้งกับบทของวินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 60 ปลายๆ ในภาพยนตร์เรื่อง Darkest Hour ซึ่งนอกจากจะต้องใช้เวลาแต่งหน้าแต่งตัวหลายชั่วโมงเพื่อให้มีความคล้ายคลึงกับเชอร์ชิลแล้ว โอลด์แมนยังถ่ายทอดอารมณ์และบุคคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งในด้านของความฉุนเฉียว น่าเกรงขาม ตลอดจนมุมมอ่อนโยนและอารมณ์ขันของรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งสหรัฐราชอาณาจักรผู้นี้ออกมาได้อย่างไร้ที่ติ จนทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในสาขาภาพยนตร์ดราม่า จากเวทีลูกโลกทองคำมาได้จากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยเข้าชิงรางวัลมาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง Tinker Tailor Soldier Spy ซึ่งในครั้งนี้นักวิจารณ์ต่างมองว่าเขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่อาจคว้าชัยชนะจากเวทีออสการ์มาครองก็เป็นได้

-- เดนเซล วอชิงตัน – "Roman J. Israel, Esq."

เดนเซล วอชิงตัน นักแสดงมากฝีมือ วัย 63 ปี เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2497 ในเมาท์ เวอร์นอนของมหานครนิวยอร์ก เป็นบุตรของนักบวชคริสต์ นิกายเพนเทคอสต์ กับเจ้าของร้านเสริมสวย และมีพี่น้อง 2 คน โดยวอชิงตันเริ่มก้าวสู่เส้นทางการแสดงเมื่อมีอายุได้เพียง 7 ปี หลังมีโอกาสได้โชว์ความสามารถพิเศษที่ Boys & Girls Club สโมสรท้องถิ่น แต่หลังพ่อแม่แยกทางกันเมื่ออายุ 14 ปี เขาและพี่สาวถูกส่งไปอยู่ในโรงเรียนประจำ ขณะที่ในเวลาต่อมา เดนเซล วอชิงตันเข้าเรียนคณะวารสารศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม ก่อนที่จะเบนเข็มความสนใจไปด้านการแสดงอย่างเต็มตัว และได้รับเลือกให้แสดงให้ภาพยนตร์ตลกเรื่อง A Carbon Copy ในปีพ.ศ. 2524 หลังจากนั้นจึงก้าวมารับบทแพทย์ในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง St. Elsewhere ระหว่างปีพ.ศ. 2525 - 2531 นอกจากนี้วอชิงตันยังปรากฎตัว ในภาพยนตร์ชื่อดังอีกหลายเรื่อง อาทิเช่น Philadelphia, Man on Fire, The Book of Eli, American Gangster และ Flight

สำหรับเดนเซล วอชิงตันคว้าออสการ์รางวัลแรกจากภาพยนตร์เรื่อง Glory ในสาขานักแสดงสมทบฝ่ายชาย ในปีพ.ศ. 2532 ก่อนจะได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Trainning Day ในปีพ.ศ. 2544 และเพิ่งจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกครั้งเมื่อปีที่ผ่านมาจากผลงานเรื่อง Fences ดัดแปลงจากบทละครเวทีของออกัสท์ วิลสัน ที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ ก่อนที่วอชิงตันจะได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาเดิมอีกครั้งในปีนี้ หลังจากที่ระเบิดฟอร์มการแสดงในบทบาทของทนายความฝ่ายจำเลยที่มีนิสัยพูดจาขวานผ่าซากและยึดมั่นกับอุดมคติอันเลื่อนลอย ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด อย่าง "Roman J. Israel, Esq."

*สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

-- แซลลี่ ฮอว์กินส์ – "The Shape of Water"

แซลลี่ ฮอว์กินส์ (Sally Hawkins) เป็นนักแสดงหญิงชาวอังกฤษวัย 41 ปี ผู้มักจะได้รับบทชนชั้นล่าง พร้อมด้วยบุคลิกของผู้หญิงขี้อายและวิตกกังวล ฮอว์กินส์เป็นที่รู้จักกันดีจากบทสมทบใน Vera Drake และมินิซีรีส์ชื่อดังของ BBC เรื่อง Fingersmith (2005) เธอเริ่มมีผลงานละครเวทีมากมาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการภาพยนตร์ โดยรับบทเล็ก ๆ ครั้งแรกใน All or Nothing (2002) ของ ไมค์ ลีห์ และบทสมทบใน Layer Cake (2004) รวมถึง Cassandra’s Dream ของ วู้ดดี้ อัลเลน (2007) เมื่อปี 2556 ฮอว์กินส์ได้รับการเสนอชื่อดาราสมทบหญิงจากภาพยนตร์เรื่อง Blue Jasmine

-- ฟรานเชส แมคดอร์มานด์ – "Three Billboards Outside Ebbing, Missouri"

ฟรานเชส แมคดอร์มานด์ เป็นนักแสดงชาวอเมริกันเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จจนได้รับตำแหน่ง The Triple Crown of Acting ในปี 2540 โดยเธอได้รับรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Fargo เมื่อปี 2554, รางวัลโทนี่ซึ่งถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดของการแสดงละครเวทีในสหรัฐอเมริกา สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สำหรับการแสดงละครบรอดเวย์เรื่อง Good People, รางวัลเอ็มมี ที่เทียบได้กับรางวัลออสการ์ของทางฝั่งโทรทัศน์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมประเภทละครหรือภาพยนตร์ จากเรื่อง Olive Kitteridge ในปี 2558 และในเดือนแรกของปีนี้ แมคดอร์มานด์คว้าทั้งรางวัล SAG Awards และรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 75 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri มาการันตีฝีมือทางการแสดงได้ถึง 2 รายการแล้ว

-- มาร์โกต์ ร็อบบี้ – "I, Tonya"

มาร์โกต์ ร็อบบี้ นักแสดงสาววัย 27 ปีจากแดนจิงโจ้ เกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1990 ที่เมืองดัลบี รัฐควีนส์แลนด์ ร็อบบี้มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง โดยเธอเรียนการแสดงที่โรงเรียนโซเมอร์เซ็ตคอลเลจ รัฐควีนส์แลนด์ ก่อนที่จะย้ายไปเมืองเมลเบิร์น รัฐวิคตอเรีย เพื่อทำตามความฝัน

ร็อบบี้เริ่มต้นอาชีพนักแสดงด้วยหนังออสเตรเลียเล็กๆ ก่อนที่จะย้ายมาอยู่สหรัฐเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ โดยเธอมีบทนักแสดงสมทบเในหนังรักเรื่อง About Time (2013) และเริ่มเป็นรู้จักมากขึ้นจากลุคสุดเซ็กซี่ในเรื่อง The Wolf of Wall Street (2013) ก่อนที่จะได้รับบทนำในเรื่อง Focus (2015) และ The Legend of Tarzan (2016) แต่ผลงานที่เรียกเสียงฮือฮามากที่สุด คือภาพยนตร์เรื่อง Suicide Squad ที่เธอรับทบทฮาร์ลีย์ ควินน์ ในลุคผมมัดแกละสีสายไหม คนรักของวายร้ายโจ๊กเกอร์

มาร์โกต์ ร็อบบี้ มีผลงานขึ้นจอเงินอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง I, Tonya บ้าให้โลกคลั่ง (2017) ที่มีเค้าโครงมาจากเหตุการณ์จริง กับบทบาททอนย่า ฮาร์ดิง นักกีฬาสเกตน้ำแข็งชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้เคยตกเป็นข่าวดังในปี 1994 จากคดีทำร้ายร่างกายนักกีฬาสเกตน้ำแข็งเพื่อนร่วมชาติเพื่อเอาชนะการแข่งขัน ร็อบบี้สวมบททอนย่า ฮาร์ดิงชนิดที่เรียกได้ว่าตีบทแตก เข้าถึงอารมณ์ ซึ่งส่งให้เธอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 75 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ประเภทเพลง/ตลก เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 90 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 4 มีนาคมนี้ด้วย

-- เซียชา โรแนน – "Lady Bird"

เซียร์ชา โรแนน เป็นนักแสดงชาวไอริช - อเมริกันที่เริ่มเข้าวงการตั้งแต่ยังเด็ก เธอสะสมชื่อเสียงจากการเล่นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ระดับเล็ก ๆ ก่อนที่จะโด่งดังจากบทบาทไบรโอนี่ ทาลลิสเด็กสาววัยใสในภาพยนตร์เรื่อง Atonement ที่เข้าฉายเมื่อปี 2550 ซึ่งส่งผลให้โรแนนได้รับรางวัลบาฟต้าครั้งที่ 61, รางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 65 และรางวัลออสการ์ครั้งที่ 80 ในสาขานักแสดงประกอบหญิงยอดเยี่ยม เมื่อปีที่แล้วโรแนนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์,รางวัลบาฟต้า และรางวัลลูกโลกทองคำ ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องบรู๊คลิน ล่าสุดโรแนนเพิ่งจะคว้ารางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 75 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก จากเรื่องเลดี้ เบิร์ด มาครองได้สำเร็จ

-- เมอริล สตรีป – "The Post"

เมอริล สตรีป นักแสดงชาวอเมริกันวัย 68 ปี ที่เรียกได้ว่าเป็นราชินีแห่งเวทีออสการ์ เนื่องจากเธอเข้าชิงออสการ์มากกว่านักแสดงทุกคน ภาพยนตร์ที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ The Deer Hunter (1978) ซึ่งส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย และต่อมาเธอได้รับรางวัลออสการ์แรกในชีวิตจากภาพยนตร์เรื่อง Kramer vs. Krame (1979) สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมอีก 2 ครั้งจากภาพยนตร์เรื่อง Sophie’s Choice (1982) และ The Iron Lady (2011)

เมอริล สตรีป กลับมาทวงบัลลังก์ออสการ์อีกครั้งกับการเข้าชิงครั้งที่ 21 ของเธอในปีนี้ จากภาพยนตร์เรื่อง The Post ในเรื่องนี้เธอรับบทเป็นแคทเธอรีน เกรแฮม ผู้กุมบังเหียนหนังสือวอชิงตัน โพสท์ ท่ามกลางความท้าทายในยุคสมัยที่ผู้ชายเป็นใหญ่ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีเค้าโครงจากเหตุการ์ณจริงในปี 1971 ถ่ายทอดความพยายามของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสท์ ในการตีพิมพ์ "เพนตากอน เปเปอร์ส" เอกสารลับรัฐบาลสหรัฐ ว่าด้วยการส่งทหารสหรัฐไปรบในสงครามเวียดนามครบคลุมช่วงเวลาประธานาธิบดีถึง 4 คน

*สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม

-- คริสโตเฟอร์ โนแลน – "Dunkirk"

คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับเลื่องชื่อชาวอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 1970 เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการนำเสนอภาพยนตร์ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่ต้องใช้ความสามารถในการปะติดปะต่อความไม่ต่อเนื่องของเวลาเข้าด้วยกัน โนแลนกำกับภาพยนตร์ชื่อดังมาแล้วมากมายอย่างInsomnia, Batman Begins, Inception, The Dark Knight Rises และ Interstellar ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการเสนอชื่อและได้รับรางวัลด้านภาพยนตร์ต่างๆ และในปีนี้ ภาพยนตร์ภายใต้การกำกับของโนแลนได้แก่ Dunkirk ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา

-- จอร์แดน พีล – "Get Out"

จอร์แดน พีล เป็นผู้กำกับชาวอเมริกัน โดยแรกเริ่มนั้นได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงในฐานะนักแสดงจากซีรีส์แนวตลกเรื่องคีย์ แอนด์ พีล ผลงานภาพยนตร์ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งนี้คือ "Get Out" ซึ่งเขาได้ฉายเดี่ยวเป็นผู้กำกับครั้งแรกในชีวิตด้วย

-- เกรตา เจอร์วิก – "Lady Bird"

เกรตา เจอร์วิก คือนักแสดงสาวที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ เธอเคยร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์หลายเรื่องที่เธอแสดง ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเขียนบทและกำกับอย่างเต็มตัวเรื่องแรกคือ Nights and Weekends ในปี 2008 ส่วน Lady Bird เป็นผลงานการเขียนบทและกำกับเรื่องที่สองของเธอ

-- พอล โธมัส แอนเดอร์สัน – "Phantom Thread"

พอล โธมัส แอนเดอร์สัน เป็นผู้กำกับชื่อดังชาวอเมริกัน วัย 47 ปี เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ปีพ.ศ. 2513 เริ่มเขียนบทและกำกับภาพยนตร์สั้นเรื่อง Coffee and Cigarettes เรื่องแรกของตัวเองในปี 2536 ด้วยงบประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หลังออกจากวิทยาลัยอีเมอร์สัน และ มหาวิทยาลัยนิวยอร์กกลางคัน ก่อนจะมีผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Hard Eight ในอีก 3 ปีต่อมา ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งแง่บวกและลบผสมผสานกัน

นอกจากนี้แอนเดอร์สันยังเป็นที่รู้จักจากผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์นอกกระแสหลายเรื่องด้วยกัน อย่าง บูกี้ไนท์ (Boogie Nights), เทพบุตรแม็กโนเลีย (Magnolia), There Will Be Blood และ Inherent Vice แม้ว่าจะเรียนรู้เรื่องการกำกับภาพยนตร์ด้วยตัวเอง แต่แอนเดอร์สันก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตภาพยนตร์ชั้นแนวหน้าในยุคสมัยของเขา ขณะเดียวกันก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วหลายครั้ง รวมถึงครั้งล่าสุดจากภาพยนตร์เรื่อง "Phantom Thread" หรือในชื่อไทยว่า "เส้นด้ายลวงตา" ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของแอนเดอร์สัน ที่ถ่ายทำนอกสหรัฐอเมริกา และเป็นการร่วมงานครั้งที่สองกับ "แดเนียล เดย์-ลูวิส" นักแสดงนำชาย

-- กีเยร์โม เดล โทโร – "The Shape of Water"

กีเยร์โม เดล โตโร ผู้กำกับชาวเม็กซิกันวัย 53 ปี เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งหนังสัตว์ประหลาด เนื่องจากเขาผ่านงานกำกับภาพยนตร์ที่มีสัตว์ประหลาดหรือภูติผีปีศาจหลายเรื่อง อาทิ Hellboy (2004), Pan’s Labyrinth (2007) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างชื่อให้เขา และ Pacfic Rim (2013)

สำหรับผลงานล่าสุดของเดล โต โร คือภาพยนตร์เรื่อง The Shape of Water (2017) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวสาวใบ้ พนักงานทำความสะอาดประจำศูนย์วิจัยลับของรัฐบาลอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม ที่ได้พบรักกับ "อสูรกาย" ที่ถูกขังไว้ในศูนย์วิจัยแห่งนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งให้กีเยร์โม เดล โทโร คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 75 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ The Shape of Water ยังเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 90 ไปได้ถึง 13 รางวัล รวมถึงสาขาใหญ่ๆอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ