เมื่อถามถึงข่าวทำให้คนไทยปลื้มต่อเรื่องดีๆ ในสายตาต่างชาติ 5 อันดับแรก พบว่า อันดับที่หนึ่งหรือร้อยละ 31.3 ระบุปลื้ม น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ แชมป์แบดมินตันโลก รองลงมาคือ ร้อยละ 22.5 ปลื้ม ทีมทนายไทย ในคดีเขาพระวิหาร อันดับสามหรือร้อยละ 17.7 ปลื้ม นุศรา ต้อมคำ มือเซตอันดับ 1 วอลเลย์บอล อันดับสี่หรือร้อยละ 15.8 ปลื้มต่างชาติ (นิวยอร์กไทม์) ยกย่อง นายกรัฐมนตรีไทย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลดความขัดแย้งภายในประเทศ เทียบจลาจลในอียิปต์ และอันดับห้า หรือร้อยละ 12.7 ปลื้ม พ.ท.หญิง ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ ผู้หญิงคนไทยที่ได้เป็น ส.ส.สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ลืมความเป็นคนไทย
เมื่อถามถึงข่าวทำให้คนไทยปลื้มต่อเรื่องดีๆ ในประเทศไทย 5 อันดับแรก พบว่า อันดับที่หนึ่งหรือร้อยละ 44.8 ระบุปลื้มปิติข่าวในหลวงและพระราชินีทรงหายประชวรและมีพลานามัยแข็งแรง รองลงมาหรือร้อยละ 21.9 ระบุปลื้มใจศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดของตนเอง ร้อยละ 16.3 ระบุการปกครองระบอบประชาธิปไตย แม้บ้านเมืองจะมีเรื่องวุ่นวาย ร้อยละ 9.7 ระบุปลื้มที่ รัฐบาลลงทุนดูแลสุขภาพและสุขภาวะของประชาชน และร้อยละ 7.3 ระบุปลื้มเพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังรักกัน มีน้ำใจเกื้อกูลกัน แม้นักการเมืองจะ ทะเลาะกัน ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ที่น่าพิจารณาคือ เรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลและผู้ใหญ่ในสังคมที่ต้องการคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.9 ระบุ เร่งแก้ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รองลงมาคือร้อยละ 80.3 ระบุยึดกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและหน้าที่พลเมืองที่ดี ร้อยละ 76.4 ระบุรัฐบาลต้องสร้างความวางใจให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ร้อยละ 68.1 ระบุช่วยกันรักษา ความดี คุณธรรม ค่านิยม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของคนในชาติร่วมกัน และร้อยละ 64.5 ระบุทำให้ทุกคนเห็นว่า ความสงบสุขและผลประโยชน์ของประเทศชาติสำคัญต่อชีวิตประจำวันของทุกคน ตามลำดับดร.นพดล กล่าวว่า สถานการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายขณะนี้ยังมีความเป็นไปได้สำหรับการนำยุทธศาสตร์รวมคนในชาติเป็นหนึ่งเดียวกันได้โดยทำให้ทุกคนเห็นโอกาสและจุดแข็งของคนไทยทุกคนในชาติว่า ยังคงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในสังคมไทยในท่ามกลางความร้อนแรงทางการเมืองและการชุมนุมประท้วงแนวนโยบายของรัฐบาลก็ตาม จึงมีข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์ดังนี้
ประการแรก รักษาปัจจัยเชิงบวกและทำให้เกิดการรับรู้ของสาธารณชนเช่น โอกาสที่ประเทศไทยจะเจริญเติบโตและมั่นคงในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนที่เกิดจากความสามารถของคนไทยทุกคนในชาติ เพราะมีจุดแข็งเรื่องความรักความสามัคคีและรักความสงบสุขในสังคมโดยกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดิน กตัญญูต่อแผ่นดินและสถาบันหลักของชาติที่ได้หล่อหลอมรวมคนในชาติมาหลายร้อยปี
ประการที่สอง หนุนเสริมทำให้เกิดแรงบันดาลใจและการมีส่วนร่วมเป็นหุ้นส่วนของประเทศในทางปฏิบัติสู่เป้าหมายร่วมกันที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ประโยชน์ของประเทศชาติและผลลัพธ์ประโยชน์ส่วนตัวและชุมชน
ประการที่สาม ทำให้ชาวต่างชาติที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยทั้งจากกลุ่มประเทศในยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเซีย-แปซิฟิกได้สัมผัสกับความรักความเป็นมิตรของคนไทยทำให้เกิดการสื่อสารความเข้าใจอันดีต่อกันในท่ามกลางความแตกต่างที่หลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทยโดยอยู่กับคนไทยได้โดยไม่รู้สึกแปลกแยกและไม่หวาดกลัวต่ออาชญากรรม
ประการที่สี่ รัฐบาลต้องทำให้สาธารณชนเกิดความวางใจต่อหลักความโปร่งใสที่มากกว่าการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลโดยทำให้เห็นวิธีการที่จับต้องได้ว่า รัฐบาลทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่มีกลุ่มคนทั้งที่เป็นรัฐมนตรี คณะที่ปรึกษาและคนใกล้ชิดเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากนโยบายสาธารณะของรัฐบาลและของประเทศชาติ จึงเสนอให้ติดประกาศการใช้จ่ายงบประมาณในรายละเอียดให้เห็นการไหลของทุกเม็ดเงินว่าใคร หน่วยงานใด บริษัทองค์กรใดและกลุ่มบุคคลใดได้การจัดสรรงบประมาณไปใช้ โดยรัฐบาลต้องเร่งขจัดความเคลือบแคลงสงสัยในระบบแอบแฝงที่เรียกกันทั่วไปว่า “ระบบเงินทอน” ในโครงการของรัฐ ผลที่ตามมาคือ ความวางใจของสาธารณชนต่อรัฐบาลและเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะรวมคนในชาติเป็นหนึ่งไว้ได้เพราะประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศจะฟังรัฐบาล ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถปลุกปั่นกระแสโค่นล้มรัฐบาลและการปกครองแบบประชาธิปไตยได้
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 49.1 เป็นชาย ร้อยละ 50.9 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 6.2 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 20.3 อายุระหว่าง 20—29 ปี ร้อยละ 19.6 อายุระหว่าง 30—39 ปี ร้อยละ 23.7 อายุระหว่าง 40—49 ปี และ ร้อยละ 30.2 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 65.1 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ในขณะที่ ร้อยละ 34.9 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 34.1 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 25.0 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 12.9 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 11.6 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 6.8 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 7.2 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 2.4 ว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ
--เอแบคโพลล์--