เมื่อสอบถามถึงความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในอีก 1 เดือนข้างหน้า พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.1 กังวลว่าสถานการณ์การเมืองจะรุนแรงขึ้น และร้อยละ 29.9 ระบุไม่กังวล
ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ เกือบสองในสามหรือร้อยละ 62.5 คิดว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้และการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยโดยการใช้อำนาจของฝ่ายการเมืองมากกว่า ในขณะที่ร้อยละ 37.5 คิดว่าเป็นประชาธิปไตยโดยประชาชนมากกว่า
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างกึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 51.5 ไม่เชื่อมั่นต่อความเป็นกลางของกลไกทางด้านศาล และร้อยละ 57.1 ไม่เชื่อมั่นว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปจะอยู่บนพื้นฐานความชอบธรรม
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.3 คิดว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย หากยังคงเดินหน้าต่อไปภายใต้ความขัดแย้ง ในขณะที่ร้อยละ 19.7 ไม่คิดว่าจะเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งบานปลาย
นางสาวปุณฑรีก์ ผช.ผอ. กล่าวว่า ประชาชนเริ่มมีความเคลือบแคลงสงสัยต่อการใช้อำนาจที่มีประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ และมีความวิตกกังวลต่อความขัดแย้งรุนแรงบานปลายที่อาจจะเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้อำนาจพร่ำเพรื่อของฝ่ายการเมือง ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกของสาธารณชน ลดการโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างความเชื่อมั่นในท่ามกลางความขัดแย้งว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และนำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องแสดงความจริงใจให้แก่ประชาชนในการสร้างแนวร่วมโดยยึดถือเอาผลประโยชน์เพื่อประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เฉพาะตัวบุคหรือกลุ่มพวกพ้อง
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 43.1 เป็นชาย ร้อยละ 56.9 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 3.8 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 18.9 อายุระหว่าง 20—29 ปี ร้อยละ 21.4 อายุระหว่าง 30—39 ปี ร้อยละ 21.7 อายุระหว่าง 40—49 ปี และ ร้อยละ 34.2 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 67.7 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ในขณะที่ ร้อยละ 32.3 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 33.5 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 9.9 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 8.2 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 29.5 รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป/เกษตรกร ร้อยละ 8.6 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 7.0 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 3.3 ว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ
--เอแบคโพลล์--