ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง คู่ไหน-กลุ่มไหนที่คนไทยอยากให้ รักกันกับทางออกของวิกฤตการเมืองไทย: กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน 19 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี เชียงใหม่ แพร่ พิษณุโลก ชลบุรี สมุทรสาคร สระบุรี ชัยภูมิ พระนครศรีอยุธยา ขอนแก่น อุดรธานี มุกดาหาร สุรินทร์ หนองคาย ชุมพร และสงขลา จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 4,988 ตัวอย่าง มีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 23-28 ตุลาคม 2551 พบว่า
10 อันดับคู่บุคคลนัยสำคัญที่คนไทยอยากให้รักกัน คู่แรกที่คนไทยอยากให้รักกันมากที่สุดหรือร้อยละ 38.4 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อันดับที่สองมี 2 คู่คือ ร้อยละ 30.2 ระบุคู่ของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับ พลตรีจำลอง ศรีเมือง และอีกร้อยละ 30.2 เช่น เดียวกันที่ระบุ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะที่อันดับที่สี่ หรือร้อยละ 26.4 ระบุคู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อันดับที่ห้าหรือร้อยละ 25.4 ระบุคู่ของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล คู่อันดับหกหรือร้อยละ 24.4 ระบุคู่ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ พลตรีจำลอง ศรีเมือง คู่อันดับที่เจ็ดหรือร้อยละ 21.2 ระบุคู่ของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คู่อันดับที่แปด หรือร้อยละ 20.4 ระบุคู่ของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง กับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล คู่อันดับที่เก้า หรือร้อยละ 20.0 ระบุ พลตรี จำลอง ศรีเมือง กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคู่อันดับสุดท้าย หรือร้อยละ 18.2 ระบุ คู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ นายสมชาย วงศ์ สวัสดิ์ ตามลำดับ
ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.0 ระบุอยากให้ทุกคู่บุคคลนัยสำคัญเหล่านี้รักกัน
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ เมื่อจำแนกผลสำรวจที่ค้นพบออกตามภูมิภาค พบว่า ในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของพรรคพลังประชาชนคือ ประชาชนในภาคเหนือ ร้อยละ 41.6 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 40.2 อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล รักกัน มากเป็นอันดับที่หนึ่ง และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครเช่นกันที่มีอยู่ร้อยละ 42.1 และในทิศทางที่คล้ายๆ กันคือ ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือร้อยละ 34.1 และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 35.1 อยากให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชา ชีวะ รักกัน ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนในภาคเหนือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.0 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 94.5 อยากให้ทุกคู่บุคคลนัยสำคัญทั้ง หมดรักและสามัคคีกัน
และเมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อไปโดยขอให้ผู้ถูกศึกษาจับคู่คณะบุคคลนัยสำคัญที่อยากให้รักและสามัคคีกัน พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 45.8 ระบุคู่ของ กลุ่ม นปก.-นปช. กับ กลุ่มพันธมิตรฯ รองลงมาคืออันดับที่สองหรือร้อยละ 40.4 ระบุคู่ของ ส.ส.ฝ่ายค้าน กับ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล อันดับที่สาม หรือร้อยละ 30.3 ระบุคู่ของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล กับ กลุ่มพันธมิตร อันดับที่สี่ หรือร้อยละ 27.7 ระบุคู่ของ ตำรวจ กับกลุ่มพันธมิตร อันดับที่ห้า หรือร้อยละ 26.6 ระบุ คู่ของ ตำรวจ กับ ทหารในกองทัพ อันดับที่หก หรือร้อยละ 23.6 ระบุคู่ของทหารในกองทัพ กับ กลุ่มพันธมิตร อันดับที่เจ็ด หรือร้อยละ 23.1 ระบุ คู่ของทหารในกองทัพ กับ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล อันดับที่แปด หรือร้อยละ 20.3 ระบุคู่ของ ส.ส.ฝ่ายค้าน กับ ทหาร ในกองทัพ อันดับที่เก้า หรือร้อยละ 19.7 ระบุคู่ของ นักวิชาการ กับทหารในกองทัพ และคู่สุดท้าย หรือร้อยละ 18.4 ระบุ คู่ของ กลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กับ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.2 เลยทีเดียวที่ระบุว่า อยากให้ทุกกลุ่มทุกคณะบุคคลนัยสำคัญทั้งหมดรักและสามัคคีกัน สำหรับทางออกของปัญหาการเมืองในขณะนี้ ผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.4 ระบุขอให้ยึดมั่นในหลักกระบวนการยุติธรรม ตามตัว บทกฎหมาย รองลงมาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.3 ระบุ ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงจากประชาชน ร้อยละ 80.5 ให้ทุกฝ่ายยอมรับคำ ตัดสินของศาลกรณีคดีที่ดินรัชดา ร้อยละ 59.6 ระบุเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 53.8 ระบุพรรคพลังประชาชน จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลแห่ง ชาติ ร้อยละ 52.5 ระบุนายกรัฐมนตรีควรลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบกรณีเกิดเหตุปะทะ 7 ตุลาคม แต่ร้อยละ 47.5 ระบุว่าไม่ใช่ทางออก
นอกจากนี้ ร้อยละ 41.6 ระบุการนิรโทษกรรมให้อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย 111 คน คือทางออก แต่ร้อยละ 58.4 ระบุไม่ใช่ ทางออก และร้อยละ 26.6 ระบุการยึดอำนาจ/ปฏิวัติคือทางออก แต่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.4 ระบุไม่ใช่ทางออกของปัญหาการเมืองในเวลานี้
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้กลุ่มบุคคลนัยสำคัญที่ถูกศึกษาครั้งนี้แสดงความรักและความสามัคคีต่อกันให้ เป็นตัวแบบอย่างแก่สาธารณชนทั้งประเทศ ก่อนที่จะบอกให้คนไทยคนอื่นๆ ปรองดองกัน ส่วนประเด็นที่ว่าใครทำอะไรผิดหรือถูกอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็น ไปตามกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายของประเทศ โดยอาจเริ่มต้นมองความดีงามของแต่ละคนแต่ละฝ่ายเพื่อหาจุดเชื่อมประสานหล่อหลอมให้เป็น เนื้อเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อความดีส่วนรวมของสังคมไทย ส่วนการมีอุดมการณ์แตกต่างกันเป็นสองกลุ่มหรือสามขั้วนั้น ก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาใน ระบอบประชาธิปไตยและควรหนุนเสริมให้แต่ละกลุ่มมีอุดมการณ์การเมืองภาคประชาชนของตนที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น แต่ต้องไม่ลืมวิถีชีวิตของคนไทยอันดี งามดั้งเดิมที่มีให้กันมาช้านาน เช่น ไมตรีจิต ความรักความสามัคคี เกื้อกูลกัน ความกตัญญู การให้อภัยต่อกัน และมีเมตตาต่อกัน เป็นต้น
รายละเอียดงานวิจัย
1. เพื่อสำรวจอารมณ์ความคิดเห็นของประชาชนต่อคู่บุคคลนัยสำคัญ คณะบุคคลนัยสำคัญที่คนไทยอยากให้รักและสามัคคีกัน
2. เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อทางออกของสถานการณ์การเมืองในขณะนี้
3. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งต่อไป
โครงการสำรวจภาคสนามของศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในครั้งนี้เรื่อง คู่ไหน-กลุ่มไหนที่คนไทยอยากให้รักกันกับ ทางออกของวิกฤตการเมืองไทย: กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน 19 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี เชียงใหม่ แพร่ พิษณุโลก ชลบุรี สมุทรสาคร สระบุรี ชัยภูมิ พระนครศรีอยุธยา ขอนแก่น อุดรธานี มุกดาหาร สุรินทร์ หนองคาย ชุมพร สงขลา เทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอด คล้องกับประชากรเป้าหมายจากการทำสำมะโน ขนาดตัวอย่างที่ทำการสำรวจ คือ 4,988 ตัวอย่าง ช่วงความเชื่อมั่นอยู่ในระดับร้อยละ 95 ขณะที่ขอบเขตความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างอยู่ที่ +/- ร้อยละ 5 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม วิธีการ เก็บรวบรวมข้อมูลคือ การสัมภาษณ์ หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสอบถามทุกชุดก่อนนำเข้าวิเคราะห์ข้อมูลและงบ ประมาณเป็นของมหาวิทยาลัย โดยมีคณะผู้วิจัย จำนวนทั้งสิ้น 167 คน
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 48.0 เป็นหญิง
ร้อยละ 52.0 เป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 9.1 อายุต่ำกว่า 20 ปี
ร้อยละ 23.0 อายุระหว่าง 20 — 29 ปี
ร้อยละ 27.0 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี
ร้อยละ 22.4 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี และ
ร้อยละ 18.5 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 75.0 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
รองลงมาคือร้อยละ 23.0 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 2.0 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 37.7 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว
ร้อยละ 31.1 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป
ร้อยละ 11.9 ระบุอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน
ร้อยละ 5.5 ระบุอาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 5.6 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 6.6 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ในขณะที่ร้อยละ 1.6 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบในตารางต่อไปนี้