ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ประสบการณ์และความรู้สึกของ ประชาชนต่อ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินบนท้องถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ กรณีศึกษาประชาชนอายุ 12 — 60 ปีใน 12 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา จันทบุรี สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น อุดรธานี เชียงใหม่ สุโขทัย ราชบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา จำนวนตัวอย่าง ทั้งสิ้น 2,228 คน โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึง 4 เมษายน 2552 ผลการสำรวจพบว่า
ประชาชนประมาณครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 49.7 เคยพบเห็นอุบัติเหตุด้วยตนเองบนท้องถนนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่ร้อยละ 50.3 ไม่เคยพบเห็น นอกจากนี้ ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงความเพียงพอของข้อมูลชื่อถนนและรายละเอียดอื่นๆ ที่จะอธิบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัย สามารถเดินทางมายังจุดเกิดเหตุได้ทันที ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 61.5 ระบุยังไม่เพียงพอ ในขณะที่ร้อยละ 38.5 ระบุมีข้อมูลมาก เพียงพอแล้ว
ที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อถามถึงความเพียงพอของการมีสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ล่วงหน้าในยามค่ำคืนบริเวณก่อสร้าง ซ่อมแซมถนน และจุดเกิด อุบัติเหตุบ่อย พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.9 ระบุยังไม่เพียงพอ ในขณะที่ร้อยละ 32.1 มีสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ยามค่ำคืนเพียงพอแล้ว
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีการร้องขอความช่วยเหลือหรือติดต่อแจ้ง เหตุ เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความพึงพอใจตอบรับบริการประชาชนได้ดีที่สุดเมื่อมีการแจ้งเหตุหรือร้องขอความช่วย เหลือคือ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย ได้ 7.21 คะแนน รองลงมา ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจผ่านทางเบอร์โทร 191 ได้ 6.11คะแนนในขณะที่ เจ้าหน้าที่ ตำรวจท้องที่ได้ 5.60 คะแนน และเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ 5.38 คะแนน
นอกจากนี้ ประชาชนจำนวนมากประมาณ 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25.0 เคยถูกตำรวจเรียกเก็บเงินจากการตั้งด่าน โดยไม่เขียนใบสั่ง และร้อยละ 75.0 ไม่เคยถูกเรียก
รายละเอียดงานวิจัย
โครงการสำรวจภาคสนามของของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในครั้งนี้เรื่อง ประสบการณ์และความรู้สึกของประชาชน ต่อ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินบนท้องถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ กรณีศึกษาประชาชนอายุ 12 — 60 ปีใน 12 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา จันทบุรี สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น อุดรธานี เชียงใหม่ สุโขทัย ราชบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา จำนวนตัวอย่าง ทั้งสิ้น 2,228 คน โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึง 4 เมษายน 2552 ประเภทของการสำรวจวิจัยครั้งนี้คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) กลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนทั่วประเทศ เทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอดคล้องกับประชากรเป้าหมายจาก การทำสำมะโน ช่วงความเชื่อมั่นอยู่ในระดับร้อยละ 95 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ การ สัมภาษณ์ หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสอบถามทุกชุดก่อนนำเข้าวิเคราะห์ข้อมูลและงบประมาณเป็นของมหาวิทยาลัย มี คณะผู้วิจัย จำนวนทั้งสิ้น 78 คน
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 52.6 เป็นหญิง
ร้อยละ 47.4 เป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.8 อายุ 12-17 ปี
ร้อยละ 5.9 อายุ 18-19 ปี
ร้อยละ 23.1 อายุระหว่าง 20 — 29 ปี
ร้อยละ 23.2 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี
ร้อยละ 18.8 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี
และร้อยละ 16.2 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 54.9 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอยต้น/ต่ำกว่า
ร้อยละ 23.0 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ป.ว.ช.
ร้อยละ 7.6 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา/ป.ว.ส.
ร้อยละ 13.5 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 1.0 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ร้อยละ 31.7 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 29.7 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว
ร้อยละ 8.1 ระบุอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน
ร้อยละ 5.6 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 4.8 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 16.4 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ในขณะที่ร้อยละ 3.7 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบในตารางต่อไปนี้