ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผล สำรวจ “เอแบคเรียลไทม์โพลล์ (ABAC Real-Time Survey)” ที่เป็นการสำรวจจากครัวเรือนที่สุ่มตัวอย่างได้ทั่วประเทศตามหลักสถิติแบบแบ่งกลุ่ม เชิงชั้นภูมิหลายชั้น (Stratified Multi-Stage Sampling) จากนั้นได้ติดตั้งโทรศัพท์ให้กับครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างเพื่อทำการสัมภาษณ์ได้อย่างรวด เร็วฉับไวภายในระยะเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง จากนั้นประมวลผลด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์ โดยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจเรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรต่อจุดจบของปัญหาการรถไฟแห่งประเทศไทย และแนวทางการปฏิรูปฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย กรณีศึกษาประชาชนใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร น่าน พิษณุโลก เชียงใหม่ ตราด ประจวบคีรีขันธ์ ลพบุรี สุพรรณบุรี ชลบุรี หนองคาย ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ขอนแก่น พังงา และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 1,209 ครัวเรือน ในวันที่ 29 ตุลาคม 2552
ผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ 90 ทราบข่าวการหยุดเดินรถไฟของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยในช่วง 7 วันที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.3 มองว่าสาเหตุการหยุดเดินรถไฟคือ ความขัดแย้งภายในองค์กร รองลงมาคือ ร้อยละ 53.9 มองว่าเป็น เรื่องผลประโยชน์ของพนักงานการรถไฟ ร้อยละ 52.8 มองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ของฝ่ายบริหาร และร้อยละ 46.1 มองว่าเป็นเพราะเห็นแก่ ความปลอดภัยของประชาชน
สิ่งที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.5 เห็นด้วยที่รัฐบาลจะปฏิรูปฟื้นฟูการรถไฟใหม่ทั้งระบบ ร้อยละ 88.2 เห็นด้วยที่รัฐบาลควร เพิ่มงบประมาณในการฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย ร้อยละ 73.6 เห็นด้วยกับการตั้งบริษัทบริหารกิจการด้านต่างๆ ของการรถไฟ แต่ส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 83.1 ไม่เห็นด้วยกับการหยุดเดินรถของพนักงานการรถไฟที่ผ่านมา
ส่วนสิ่งที่ประชาชนอยากให้การรถไฟฯ ควรเร่งปฏิรูปฟื้นฟูคือ เกือบร้อยละร้อยหรือร้อยละ 98.9 ระบุเป็นเรื่องความปลอดภัย ร้อยละ 98.2 ระบุเป็นเรื่องการตรงต่อเวลา ร้อยละ 97.8 ระบุเป็นเรื่องการปรับปรุงภาพลักษณ์องค์กร ร้อยละ 97.4 ระบุควรปรับปรุงหัวรถจักรให้ทันสมัย ร้อยละ 97.1 ระบุควรเร่งแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 90.8 ระบุควรเพิ่มจำนวนบุคลากร และร้อยละ 81.5 ควรเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารการ รถไฟ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนก่ำกึ่งกันคือ ร้อยละ 49.7 เชื่อว่าจุดจบของปัญหาในการรถไฟแห่งประเทศไทยคือ ปัญหาจะยังมีอยู่เหมือนเดิม เป็นแค่กระแส ไม่มีใครคิดแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ในขณะที่ร้อยละ 50.3 เชื่อว่าจะมีการปฏิรูปฟื้นฟูอย่างจริงจัง
ที่น่าพิจารณาคือ ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.4 ระบุประเทศญี่ปุ่น ควรเป็นประเทศต้นแบบที่อยากให้นำมาปฏิรูปฟื้นฟูการรถไฟของ ประเทศไทย รองลงมาคือ ร้อยละ 12.7 ระบุประเทศสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 9.4 ระบุประเทศจีน และร้อยละ 8.5 ระบุเป็นกลุ่มประเทศในยุโรป ตามลำดับ
ส่วนกรณีความเห็นต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาการรถไฟ เช่น กลุ่มการเมืองต่างๆ พบว่า ส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 71.2 ไม่เห็นด้วย เพราะ เป็นการทำให้ปัญหาบานปลายมากขึ้น ไม่อยากให้วุ่นวายไปกว่านี้ ควรเป็นเรื่องของคนภายในช่วยแก้ปัญหากัน และ มองว่าการเคลื่อนไหวเหล่านั้นไม่ก่อเกิดประโยชน์ต่อการรถไฟอย่างแท้จริง เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 28.8 เห็นด้วย เพราะจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาได้ เร็วขึ้น จะได้ช่วยกันไกล่เกลี่ย และร่วมกันตรวจสอบให้มีความโปร่งใส
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 54.2 เป็นหญิง
ร้อยละ 45.8 เป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 7.6 อายุต่ำกว่า 20 ปี
ร้อยละ 25.0 อายุระหว่าง 20 — 29 ปี
ร้อยละ 23.5 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี
ร้อยละ 22.8 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี
และร้อยละ 21.1 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 73.4 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
รองลงมาคือร้อยละ 24.0 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 2.6 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ร้อยละ 30.4 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 27.7 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว
ร้อยละ 13.9 ระบุอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน
ร้อยละ 10.9 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 6.7 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 5.8 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ในขณะที่ร้อยละ 4.6 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ