ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ฐานสนับสนุนของ สาธารณชนต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศกับ กัมพูชา กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 21 จังหวัดของประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ลพบุรี ชลบุรี สระแก้ว ยโสธร ศรีสะเกษ ขอนแก่น อุดรธานี สกลนคร หนองคาย น่าน เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก สมุทรสาคร กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ยะลา และ นราธิวาส จำนวนทั้งสิ้น 3,709 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม — 5 พฤศจิกายน 2552 ผลการสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่กว่าร้อย ละ 81.1 ทราบข่าวกรณีผู้นำประเทศกัมพูชาให้สัมภาษณ์โจมตีกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศไทย
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า เมื่อถามต่อถึงการสนับสนุนของสาธารณชนต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในขณะนี้ พบว่า แนวโน้มการสนับสนุน ของสาธารณชนต่อรัฐบาลชุดปัจจุบันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพิ่มสูงขึ้นประมาณสามเท่าตัวจากร้อยละ 23.3 ในเดือนกันยายน มาอยู่ที่ร้อยละ 68.6 ในการสำรวจครั้งล่าสุด ในขณะที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมีอยู่ร้อยละ 21.1 และร้อยละ 10.3 ยังคงขออยู่ตรงกลาง
เมื่อจำแนกตามลักษณะทั่วไปของประชาชนพบว่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้นของสังคมไทยส่วนใหญ่หันมาสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีแตกต่างไปจากการสำรวจครั้งก่อนที่พบว่า คนส่วนใหญ่อยู่ตรงกลาง แม้แต่ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 53.1 ก็สนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันเช่นกัน โดยพบมากที่สุดในภาคใต้ ร้อยละ 88.2 ภาคเหนือร้อยละ 64.6 ภาคกลางร้อยละ 68.9 และกรุงเทพมหานครร้อยละ 68.8 ตามลำดับ
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า ผลวิจัยครั้งนี้น่าจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากการให้สัมภาษณ์ของผู้นำประเทศกัมพูชาที่โจมตีกระบวนการยุติธรรม ภายในประเทศไทย และกระแสข่าวที่ผู้นำกัมพูชาจะรับรอง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา ส่งผลให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับอดีตนายกรัฐมนตรีหันมาสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังคงให้ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมของ ประเทศอยู่ดังนั้นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ และการเมืองระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาครั้งล่าสุดนี้กลับเป็นผลดีต่อการรักษา ฐานสันบสนุนของสาธารณะชนต่อรัฐบาลชุดปัจจุบันมากกว่า และเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนขึ้น คณะผู้วิจัยกำลังเก็บรวบรวมข้อมูลของประชาชนต่ออดีตนายก รัฐมนตรี และความหวังต่อความสัมพันธ์ที่ดีช่วยเหลือต่อกันและกันระหว่างทั้งสองประเทศในขณะนี้
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 52.8 เป็นหญิง
ร้อยละ 47.2 เป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 7.1 อายุต่ำกว่า 20 ปี
ร้อยละ 20.8 อายุระหว่าง 20 — 29 ปี
ร้อยละ 25.5 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี
ร้อยละ 24.7 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี
และร้อยละ 21.9 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 71.7 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
รองลงมาคือร้อยละ 28.3 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 39.3 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป
ร้อยละ 23.9 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว
ร้อยละ 14.5 ระบุอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน
ร้อยละ 9.0 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 6.3 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ร้อยละ 7.0 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ และว่างงาน