นายแพทย์ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการ เพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนา สุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต เปิดเผยผลสำรวจ “เอแบคเรียลไทม์โพลล์ (Real-Time Survey)” ที่เป็นการสำรวจจากครัวเรือนที่สุ่มตัวอย่างได้ทั่ว ประเทศตามหลักสถิติแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และได้ติดตั้งโทรศัพท์ให้กับครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างเพื่อทำการสัมภาษณ์ได้อย่างรวดเร็วฉับไว จากนั้นประมวลผลด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์ โดยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจ เรื่อง สายใยสัมพันธ์รักจากพ่อถึงลูกของคน 3 วัย : กรณีศึกษาตัวอย่างคุณพ่อที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ตาก พิษณุโลก เชียงใหม่ ชัยนาท สระบุรี ปทุมธานี ชลบุรี อำนาจเจริญ หนองคาย สกลนคร ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ขอนแก่น กระบี่ สุราษฎร์ธานี และสงขลา ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 1,018 ตัวอย่าง พบว่า
พ่อในปัจจุบันส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.2 พักอาศัยอยู่กับลูกของตนเอง และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.2 จะมีโอกาสพูดคุยกับลูกในช่วงวัน หยุดร้อยละ 67.9 มีโอกาสพูดคุยกับลูกหลังเลิกงานตอนเย็น แต่ประมาณครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 49.7 เท่านั้นที่มีโอกาสพูดคุยกับลูกก่อนออกไปทำงานตอน เช้า ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มผู้เป็นพ่อที่ระบุว่ามีบทบาทเลี้ยงดูลูกในปัจจุบันมากขึ้นพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.0 เป็นคุณพ่อยุคใหม่ ในขณะที่คุณพ่อที่เป็น คุณปู่คุณตามีอยู่ร้อยละ 45.1 และรุ่นคุณทวดมีอยู่ร้อยละ 31.4
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจที่ค้นพบเช่นนี้มองได้อย่างน้อยสองด้านคือ มองได้ว่า คุณพ่อยุคใหม่มีบทบาทเลี้ยงดูมากกว่าคุณพ่อวัยอื่นคือรุ่น คุณปู่คุณตา และคุณทวด แต่ มองอีกด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สายสัมพันธ์ใยรักของคุณพ่อรุ่นที่ยิ่งห่างวัยออกไปจนถึงเป็นวัยคุณทวดหรือสูงอายุมากๆ ยิ่งมี สายสัมพันธ์ที่ห่างเหินไปจากการอบรมเลี้ยงดูลูกของตนเอง
แต่เมื่อพิจารณากิจกรรมที่ทำร่วมกับลูกของตนเองในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่เกินกว่าร้อยละ 80 ขึ้นไปที่ยังมีโอกาสรับ ประทานอาหารร่วมกัน และส่วนใหญ่ยังคงได้ดูโทรทัศน์ ให้คำปรึกษาและทำบุญร่วมกัน อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เป็นพ่อในวัยคุณทวดที่มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับ ลูกของตนเองมีเพียงร้อยละ 38.9 ซึ่งน้อยกว่าเกือบสองเท่าตัวของกลุ่มผู้เป็นพ่อยุคใหม่ที่มักจะไปท่องเที่ยวกับลูกของตนเองที่มีอยู่ร้อยละ 63.1 และ กิจกรรมที่คุณพ่อทั้งสามวัยมีบทบาทน้อยสุดในการร่วมกิจกรรมกับลูกของตนเองคือการอ่านหนังสือร่วมกันที่คุณพ่อยุคใหม่มีอยู่ร้อยละ 37.5 คุณพ่อรุ่นคุณปู่คุณ ตาร้อยละ 27.4 และรุ่นคุณทวดมีอยู่ร้อยละ 18.9 ที่มีโอกาสอ่านหนังสือร่วมกันกับลูกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจคือ คุณพ่อทั้งสามวัยส่วนใหญ่เกินกว่าร้อยละ 70 ขึ้นไปยังคงมีการอบรมเลี้ยงดูลูกในเรื่อง กิริยา มารยาท การพูดจา มีสัมมา คารวะ เรื่องศีลธรรม จริยธรรมและคุณธรรม และรวมถึงการให้คำปรึกษาเวลามีปัญหา แต่ในเรื่องการคบเพื่อน คุณพ่อทั้งสามวัยเริ่มมีบทบาทน้อยลง รวมถึงเรื่องการแต่งกาย การเที่ยวเตร่นอกบ้าน แต่คุณพ่อยุคใหม่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.5 มีบทบาทช่วยเหลือเรื่องการเรียนการศึกษาของลูก
นอกจากนี้ การแสดงออกถึงสายสัมพันธ์ใยรักที่พ่อลูกมีต่อกัน ผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่เกินกว่าร้อยละ 80 ในกลุ่มคุณพ่อทั้งสามวัยจะพูดคุยให้ กำลังใจกัน แต่การบอกรักและการโอบกอด ลูบศรีษะ ลูบหลังให้ลูกเมื่อมีปัญหาผลสำรวจพบในกลุ่มคุณพ่อยุคใหม่ประมาณร้อยละ 70 ขึ้นไปที่ยังมีลูกอายุไม่ มากนัก อย่างไรก็ตาม คุณพ่อรุ่นคุณทวดเกินครึ่งหรือร้อยละ 53.9 ก็ยังบอกรักลูกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน
เมื่อถามถึงแบบอย่างที่ดีที่เคยประพฤติปฏิบัติตนให้กับลูกของตนเอง พบว่า คุณพ่อทั้งสามวัยส่วนใหญ่เกินกว่า ร้อยละ 70 ขึ้นไป ได้มีแบบ อย่างที่ดีเรื่องการทำงานเก่ง ขยันขันแข็ง เป็นอันดับแรก รองลงมาคือให้ความรักความอบอุ่นแก่ครอบครัว ความซื่อสัตย์สุจริต การสู้ชีวิต อดทน ไม่ ยอมแพ้ การมีศีลธรรมคุณธรรม เสียสละ กตัญญู สุภาพอ่อนโยน และมีระเบียบวินัย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ สิ่งที่คุณพ่อทั้งสามวัยเคยทำผิดพลาดไปและอยากเปลี่ยนแปลงคือ คุณพ่อยุคใหม่เกินครึ่งเล็กน้อยหรือร้อยละ 51.7 ยังคง รู้สึกว่ามีเวลาให้กับครอบครัวน้อยไป และรองๆ ลงไปคือ ความใจร้อน วู่วาม ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา การยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข การพนัน การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย การตามใจลูกเกินไป การทะเลาะวิวาทในครอบครัว ไปจนถึงการนอกใจภรรยาของตนเอง
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ที่น่าพิจารณาคือ คุณพ่อยุคใหม่มีค่าเฉลี่ยของความรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากคนนอกบ้านเท่ากับ 8.19 จากคะแนน เต็ม 10 คะแนน มากกว่าคุณพ่อวัยอื่นคือ วัยคุณปู่คุณตาได้ 8.16 คะแนนและวัยคุณทวดได้ 7.96 คะแนน แต่การยอมรับของคนภายในบ้านตนเอง คุณพ่อ วัยทวดและวัยคุณปู่คุณตามีคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 9.05 และ 9.07 คะแนนมากกว่าคุณพ่อยุคใหม่ที่รู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับในบทบาทหน้าที่จากคนใน บ้านตนเองอยู่ที่ 8.98 คะแนน อย่างไรก็ตาม อาจมองได้ว่าคุณพ่อยุคใหม่มีช่องว่างในเรื่องการยอมรับบทบาทของตนเองทั้งจากคนในบ้านและคนนอก บ้านน้อยกว่าคุณพ่อในวัยอื่น
สิ่งที่คุณพ่อทั้งสามวัยตั้งใจจะทำเพื่อถวายแด่ในหลวงในวันพ่อที่จะมาถึงนี้คือ อันดับแรกหรือร้อยละ 91.0 จะประพฤติตนเป็นคนดี ร้อยละ 89.4 จะร่วมถวายพระพร ร้อยละ 83.9 จะน้อมนำพระบรมราโชวาทไปปฏิบัติ และรองๆ ลงไปคือจะทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม ทำ กิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณีและศาสนา ทำกิจกรรมส่งเสริมสิ่งแวดล้อม จะลด ละเลิกอบายมุข และจะลดความแตกแยก ร่วมสร้างความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ ตามลำดับ
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง เมื่อจำแนกตามสถานภาพในครอบครัว พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 10.2 ระบุเป็นทวด
ร้อยละ 39.6 ระบุเป็นปู่/เป็นตา
ร้อยละ 50.2 ระบุเป็นพ่อ
ร้อยละ 14.4 ระบุอายุต่ำกว่า 40 ปี
ร้อยละ 23.3 ระบุอายุ 40-49 ปี
และร้อยละ 62.3 ระบุอายุ 50 ปีขึ้นไป
ร้อยละ 68.6 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
ร้อยละ 23.7 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 7.7 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 19.4 ระบุอาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 8.6 ระบุอาชีพลูกจ้าง/พนักงานบริษัท
ร้อยละ 30.8 ระบุอาชีพค้าขายรายย่อย/อิสระ
ร้อยละ 30.0 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป
ร้อยละ 9.7 ระบุเป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 1.5 ระบุว่างงาน
5 ธันวาคม 2552 ที่จะมาถึงนี้ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ สิ่งที่ตั้งใจจะทำ ค่าร้อยละ 1 ประพฤติตนเป็นคนดี 91.0 2 ร่วมถวายพระพร 89.4 3 น้อมนำพระบรมราโชวาทไปปฏิบัติ 83.9 4 ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม 80.7 5 ทำกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา 79.2 6 ทำกิจกรรมส่งเสริมสิ่งแวดล้อม 73.1 7 ลด ละ เลิก อบายมุข 69.7 8 ลดความแตกแยก ร่วมสร้างความสามัคคีของคนในชาติ 62.7 --เอแบคโพลล์-- -พห-