ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ความทรงจำของคนกรุงเทพมหานคร ต่อสถานการณ์การเมืองในปีที่แล้ว กับความคิดเห็นต่อ ผลที่จะตามมาหลังคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่เป็นการสำรวจด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ในระดับครัวเรือนตามหลักสถิติ โดยครั้งนี้มีตัวอย่างในการสำรวจจำนวนทั้งสิ้น 1,515 ตัวอย่าง เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 19 — 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญที่ค้นพบคือ
คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.2 ยังคงติดตามข่าวการพิจารณาคดียึดทรัพย์ โดยมีประชาชนเกินกว่าร้อยละ 10 คือร้อยละ 11.7 กังวลมากจนถึงขั้นจะกักตุนอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ และร้อยละ 3.0 กังวลจนถึงขั้นจะกักตุนอาหารและจะชักชวนคนอื่นด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.3 ไม่รู้สึกกังวลและจะใช้ชีวิตไปตามปกติ
ที่น่าเป็นห่วงคือ ความรู้สึกของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายหลังการพิพากษาคดียึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่พบว่า ร้อยละ 49.2 คิดว่าจะวุ่นวายเหมือนเดิม และร้อยละ 44.2 จะวุ่นวายมากขึ้น มีเพียงร้อยละ 6.6 ที่คิดว่าจะลดความวุ่นวายลง
คนกรุงเทพฯและปริมณฑลส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.4 ยังคงจำได้ว่าในปีที่ผ่านมา มีการชุมนุมประท้วงก่อความวุ่นวายของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ที่ใช้ความรุนแรง โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.4 ระบุว่าถ้าเกิดสถานการณ์การเมืองวุ่นวายรุนแรงเหมือนปีที่ผ่านมาอีกตนเองจะเดือดร้อนมากกว่า แต่มีอยู่เพียงร้อยละ 4.6 เท่านั้นที่คิดว่าจะได้รับประโยชน์มากกว่าถ้าเกิดความรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.4 คิดว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองบางกลุ่ม ในขณะที่เพียงร้อยละ 9.6 คิดว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และร้อยละ 29.0 ไม่มีความเห็น
สำหรับ 5 อันดับแรก ที่คนกรุงเทพฯและปริมณฑลมีข้อเสนอแนะต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ทุกกลุ่มขณะนี้ อันดับแรกหรือร้อยละ 89.6 ระบุขอความสงบในการเคลื่อนไหวไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน อันดับสองหรือร้อยละ 86.5 ระบุให้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ และอันดับสาม หรือร้อยละ 83.1 ระบุให้เร่งช่วยกันแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน ส่วนอันดับสี่และห้าคือ ให้อภัยต่อกัน และทำงานการเมืองเชิงสร้างสรรค์ ไม่มุ่งแต่ทำลายกัน ตามลำดับ
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่างพบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 52.9 ระบุเป็นหญิง
ในขณะที่ร้อยละ 47.1 ระบุ เป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 5.6 ระบุอายุต่ำกว่า 20 ปี
ร้อยละ 18.2 ระบุอายุระหว่าง 20-29 ปี
ร้อยละ 24.6 ระบุอายุระหว่าง 30-39 ปี
ร้อยละ 21.9 ระบุอายุระหว่าง 40-49 ปี
และร้อยละ 29.7 ระบุอายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 44.5 สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่า
ร้อยละ 27.0 สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช.
ร้อยละ 10.1 สำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา/ปวส.
ร้อยละ 16.8 สำเร็จการระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 1.6 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 30.9 ระบุธุรกิจส่วนตัว/อาชีพค้าขาย
ร้อยละ 29.1 ระบุรับจ้างใช้แรงงานทั่วไป
ร้อยละ 14.5 ระบุอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน
ร้อยละ 10.0 ระบุอาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 7.4 ระบุเป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 5.3 ระบุเป็นนักเรียน/นักศึกษา
ร้อยละ 2.8 ระบุว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ
--เอแบคโพลล์--