วิกฤตการณ์น้ำท่วมสร้างความเสียหายต่อประชาชนในหลายพื้นที่
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนพฤศจิกายน 2553 จำนวน 2,478 ราย ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยรวมของทั้งประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 24.6 เป็น 24.9 แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในระดับต่ำ โดยสะท้อนได้จากค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 ซึ่งประชาชนยังคงมีความกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และปัญหาอุทกภัยครั้งรุนแรงซึ่งสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนของปีที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 16.7 เป็น 24.9 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อและการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันพบว่ามีค่าคงตัวอยู่ที่ 14.7 เนื่องจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมมีความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินรวมทั้งพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชน
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3เดือน) ปรับตัวเพิ่มเพียงเล็กน้อยจาก 31.3 เป็น 31.7 แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีความคาดหวังที่ดีขึ้นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต แต่หากมองโดยภาพรวมพบว่าสังคมไทยยังขาดเสถียรภาพอันเป็นผลเนื่องมาจากปัญหาการเมืองภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก
เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนพฤศจิกายน 2553 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน(แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาลิตรละ 31.84 บาท เป็น 32.44 บาท ส่วนน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาลิตรละ 27.59 บาท เป็น 28.59 บาท
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 13.9 “ไม่ดี” ร้อยละ 59.7
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 22.0 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 40.8
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 7.8 “หางานยาก” ร้อยละ 67.1
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 8.5 “หางานยาก” ร้อยละ 62.0
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 22.0 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 23.7
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายน 2553 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา) คือ ภาคกลาง จาก 16.2 เป็น 16.7 ภาคเหนือ จาก 23.8 เป็น 25.8 ภาคตะวันออก จาก 19.7 เป็น 23.5 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 24.2 เป็น 28.7 เนื่องจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมได้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในหลายพื้นที่ ซึ่งหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้เข้าช่วยเหลือเพื่อบรรเทาสาธารณภัยโดยเร่งด่วน ทั้งนี้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากทำให้ราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 23.6 เป็น 20.1 และภาคใต้ จาก 38.8 เป็น 32.3 เนื่องจากสังคมและการเมืองไทยยังขาดความมีเสถียรภาพ ประชาชนยังต้องการความมั่นคงจากรัฐบาลมากกว่าในปัจจุบัน ส่วนภาคใต้ยังประสบปัญหาวาตภัยและอุทกภัยอย่างหนักโดยต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแล
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ การว่างงาน เศรษฐกิจทั่วไป คอรัปชั่น และยาเสพติด ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาสินค้าและเศรษฐกิจทั่วไป
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. ปรับค่าจ้างและค่าแรงขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งหามาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ เพื่อลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อค่าครองชีพ
2. เร่งรัดการช่วยเหลือ และเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากผลผลิตได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้าไปดูแลอย่างทั่วถึง
3. หามาตรการและแนวทางการป้องกันภาวะภัยธรรมชาติในระยะยาว รวมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อภาคการเกษตร
4. ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาหนี้นอกระบบ/ ผู้มีอิทธิพลเถื่อน และปัญหาการคอรัปชั่น
5. ดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
6. แก้ไขปัญหาชุมชนระดับรากหญ้า ปัญหาปากท้องของประชาชน และสวัสดิการผู้สูงอายุ/ผู้พิการ ให้เหมาะสมกับภาวะในปัจจุบัน
7. ดูแลผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมและไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ
---------------------------------------
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชนนักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th