นายเจียง บิง ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและพัฒนาในสังกัดสำนักงานพลังงานแห่งชาติของจีน (NEA) กล่าวปาถกฐาในการสัมมนาภายใต้หัวข้อ "State Grid Corporation of China" ซึ่งจัดโดยสถาบันวิจัยพลังงานว่า จีนจะลดปริมาณการใช้พลังงานพื้นฐานจากถ่านหินลงให้เหลือระหว่าง 4-4.2 พันล้านตันให้ได้ภายในปี 2558
ทั้งนี้ พลังงานพื้นฐานหมายถึงพลังงานที่ได้จากธรรมชาติโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปเหมือนกับ เชื้อเพลิงฟอสซิล เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ พลังงานชีวภาพ พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และอื่นๆ
นอกจากนี้ นายเจียง กล่าวว่า รัฐบาลจีนได้กำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาคาร์บอนต่ำ ด้วยการวางแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานพื้นฐานเพื่อทดแทนพลังงานจากฟอสซิลให้ได้ 15% ภายในปี 2563 และลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ลงเหลือระดับ 40-45% ต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ภายในปี 2563 เมื่อเทียบกับตัวเลขของปี 2548
"การที่จะบรรลุเป้าหมายทั้งสองอย่างได้พร้อมกัน จะต้องลดปริมาณการใช้พลังงานพื้นฐานลงให้ต่ำกว่า 4.2 ล้านตัน ตามแผนพัฒนาในอีก 5 ปีข้างหน้า (2554-2558) ให้ได้" นายเจียงกล่าวทั้งนี้ ปริมาณการใช้พลังงานถ่านหินมาตรฐานของจีนอยู่ที่ 2.5 ตันต่อคน และถ้าไม่มีการควบคุมการใช้พลังงานถ่านหินมาตรฐานของจีนจะพุ่งขึ้นเป็น 7 พันล้านตันในปี 2573
อย่างไรก็ตาม นายเจียงอธิบายว่า ถึงแม้ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นจำนวนมหาศาล แต่ปริมาณการใช้ถ่านหินต่อหัวของจีนยังอยู่ในระดับเดียวกับการใช้ต่อหัวของญี่ปุ่น
ดังนั้น การปฏิรูปโครงสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งและนับเป็นกลยุทธ์ทางเลือกสำหรับจีนในการควบคุมการใช้พลังงานทั้งหมดในอีก 15 ปีข้างหน้า
ด้านข้อมูลสถิติของ NEA ระบุว่า ปริมาณการใช้พลังงานพื้นฐานจากถ่านหินมาตรฐานของจีนได้ทะลุ 3.07 ล้านตันในปี 2552 เพิ่มขึ้น 30% จากปริมาณการใช้ทั้งหมดของปี 2548 สำนักข่าวซินหัวรายงาน