สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย ร่วงต่ำสุด 72 เซนต์ลงมาอยู่ที่ 107.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะฟื้นขึ้นมาอยู่ที่ 108.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 12.14 น. ตามเวลากรุงลอนดอน
ราคาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากเมื่อวานนี้สัญญาณน้ำมัน WTI อ่อนตัวลง 1.1% แตะ 108.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าความต้องการอาจทรุดลง เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันพุ่ง 6.3% ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา และโดยรวมในปีนี้ราคาน้ำมันแพงขึ้น 10%
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลงต่ำสุด 1.65 ดอลลาร์มาแตะ 122.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 วันเมื่อวานนี้
ในปีนี้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้น 15% แล้ว ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตก จนอาจนำไปสู่การระงับการส่งออกน้ำมันจากอิหร่าน
บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่าการพุ่งขึ้นดังกล่าวจะมีความต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยทางการเมืองระหว่างภูมิภาค
“ปัญหาด้านอุปทานและความเสี่ยงทางการเมืองที่รุนแรงเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น" นักวิเคราะห์รายหนึ่งในตะวันออกกลางกล่าว
ความขัดแย้งระหว่างชาติตะวันตกและอิหร่านเกี่ยวกับแผนการนิวเคลียร์ของอิหร่านนับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในปัจจุบัน
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 24 ก.พ. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะทรงตัวที่ 85.5%