(เพิ่มเติม) แบงก์รัฐ-เอกชน วอน ธปท.ปรับเกณฑ์คุมสินเชื่อบ้านหวั่นกระทบผู้มีรายได้น้อย พร้อมเสนอเลื่อนเวลาบังคับใช้

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday October 11, 2018 18:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยภายหลังเข้ารับฟังความเห็น (Public Hearing) เกณฑ์ใหม่ในการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้มีรายได้น้อยและปานกลางที่มีความจำเป็นต้องมีบ้านหลังสอง อาจจะทำให้หันไปใช้เงินกู้นอกระบบเพื่อมาปิดบ้านหลังแรก ทำให้หนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น

หลักเกณฑ์ใหม่จะกระทบกับลูกค้าของ ธอส.ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางที่ต้องการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจริง ไม่ได้เป็นการแสวงหาผลกำไร โดยหลักเกณฑ์ใหม่ใช้สำหรับลูกค้าที่ต้องการกู้บ้านหลังที่สอง แต่ยังผ่อนหลังแรกไม่หมด ซึ่งปัจจุบัน ธอส.มีลูกค้าในลักษณะนี้มาก เช่นมีบ้านอยู่ไกล แต่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองใกล้ที่ทำงาน

ดังนั้น จึงอยากเสนอให้ ธปท.พิจารณาปรับหลักเกณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยให้ผ่อนปรนเกณฑ์วางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของมูลค่าหลักประกัน (LTV limit 80%) ให้คุมเฉพาะบ้านหลังที่ 2 ที่มีราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งเสนอให้เลื่อนเวลาบังคับใช้เกณฑ์ดังกล่าวจากที่กำหนดเริ่มวันที่ 1 ม.ค.62 ออกไปก่อน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์และภาคธุรกิจมีเวลาปรับตัว

"ธปท.ควรกำหนดนิยามเกณฑ์คุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะบ้านหลังที่สอง ซึ่งปัจจุบันมีความจำเป็น โดยเฉพาะลูกค้า ธอส. ที่ขอสินเชื่อไป ก็เพื่อใช้อยู่จริง ไม่ได้ใช้เก็งกำไร หรือนำไปขายต่อ หากนำเกณฑ์ไปปฏิบัติก็จะกระทบกับลูกค้าของ ธอส.ซึ่งปัจจุบันมีการให้สินเชื่อบ้านหลังที่สองจำนวนมาก"นายฉัตรชัย กล่าว

นายฉัตรชัย กล่าวว่า ธอส.จะขอความเห็นจากกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเกณฑ์ดังกล่าวของ ธปท. หากกระทรวงการคลังให้นโยบายดำเนินการอย่างไรก็จะปฏิบัติตาม เบื้องต้นจะหารือผ่านผู้แทนกระทรวงการคลังในการประชุมคณะกรรมการ ธอส.วันที่ 29 ต.ค.61

ด้านแหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากธนาคารพาณิชย์ และ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งได้มีการเสนอความเห็นต่อ ธปท.ใน 6 เรื่อง คือ 1.ให้วางเงื่อนไขผ่อนปรนช่วงเปลี่ยนผ่านสำหรับเกณฑ์การนับบ้านหลังสอง ซึ่งปัจจุบันมองว่าบ้านหลังที่สองมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิต หรือ อาจปรับไปใช้เกณฑ์สำหรับบ้านหลังที่สามขึ้นไป หรือกรณีลูกค้าทำสัญญาซื้อก่อนออกประกาศ แต่บ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนหลัง ม.ค.62 จะต้องบังคับใช้เกณฑ์ย้อนหลังหรือไม่ และเสนอให้ ธปท.มีการชะลอการเริ่มใช้เกณฑ์ดังกล่าวออกไปเพื่อให้ธนาคารปรับตัว

สำหรับข้อเสนอที่ 2.ในกรณีที่เป็นการกู้ร่วมจะนับจำนวนสัญญาอย่างไร 3.แนวทางการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ตามเกณฑ์ใหม่ 4.เงื่อนไขรายละเอียดของราคากรณีรีไฟแนนซ์ จะมีการปรับวงเงิน หรือ ปรับเกณฑ์วางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของมูลค่าหลักประกันหรือไม่ 5.ขอให้ยกเว้นการนับมูลค่าหลักประกัน กรณีซื้อประกันชีวิต และ 6. กรณีนำบ้านไปขอสินเชื่อ SME ต่อจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร

ด้านนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า เกณฑ์วางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของมูลค่าหลักประกัน (LTV limit 80%) สำหรับบ้านหลังที่ 2 หรือ มีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป ถือเป็นยาแรงเกินไป สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เติบโตร้อนแรง หรือมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่สูงเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังไม่พบสัญญาณฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ไทยด้วย

"ปัจจุบันผู้จบการศึกษาใหม่ หรือผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง จะซื้อบ้านหรือคอนโดฯ หลังแรกเพื่อเพียงพอกับการอยู่อาศัยเท่านั้น หลังจากเริ่มทำงาน 5-6 ปี หรือมีครอบครัวจะหาซื้อที่อยู่อาศัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่สัญญาสินเชื่อเดิมยังผ่อนอยู่และยังขายไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มลูกค้าที่มีบ้านชานเมืองที่ยังผ่อนชำระ แต่เมื่อมีรถไฟฟ้าและมีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้ที่ทำงาน จึงต้องการซื้อเพื่อความสะดวก"

ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องการให้ ธปท.ทบทวนและขอให้ใช้มาตรการกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในสัญญาที่ 3 ขึ้นไปมากกว่า และให้เลื่อนการใช้เป็นวันที่ 1 ก.ค. 2562 จากที่ธปท.เสนอให้ใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2562

ส่วนข้อเสนอให้ใช้มาตรการเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากต้องการให้มีเวลาให้ผู้ซื้อทั้งที่ซื้อแล้ว และรอโอนกรรมสิทธิ์และกำลังซื้อได้เตรียมตัวและปรับตัว เช่น ผู้ซื้อที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2562 หรือ 2563 จะได้ไม่มีปัญหาที่จะไม่สามารถหาเงินส่วนต่างมาจ่าย ณ วันโอน หรือ ผู้ซื้อใหม่จะได้มีเวลาเตรียมตัวในการพิจารณาความสามารถการวางเงินดาวน์ที่มากขึ้น

ด้านนางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า มาตรการดังลก่าวอาจสร้างผลกระทบกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องการให้ธปท. ในฐานะผู้กำกับที่มีอำนาจและมีหน้าที่ ใช้หลักเกณฑ์เดิม หรือ LTV 90% ไปชั่วคราวก่อนอย่างน้อย 3-6 เดือน แต่ที่ผ่านมา ธปท.พบการปล่อยสินเชื่อที่หละหลวมดังนั้น จึงต้องการให้คุมเข้มให้ตรงจุดมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ

อย่างไรก็ตาม มองว่า หากต้องการออกมาตรการจริง อยากให้ดำเนินการเป็นขั้นบันได หรือ ทยอยปรับ เพื่อให้ผู้ประกอบการ และประชาชนได้มีเวลาปรับตัวและเตรียมความพร้อม เนื่องจากมองว่า การดำเนินนโยบายไม่สามารถทำได้เร็ว ไม่เช่นนั้นอาจกระทบกับลูกค้ารายย่อยได้ นอกจากนี้อยากให้ธปท. แยกประเภทของสินเชื่อออก เช่น สินเชื่อบุคคล หรือ การซื้อประกันชีวิตพ่วง ให้คำนวณหรือคิดเฉพาะสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเท่านั้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ