สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย ห่วงพฤติกรรมการออมคนไทย หลังพบระดับการออมในบัญชีเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ

ข่าวเศรษฐกิจ Friday December 20, 2019 16:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.อัจจนา ล่ำซำ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยด้านเครือข่ายวิจัยและการสื่อสาร สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เผยผลการศึกษาร่วมกับสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ถึงพฤติกรรมการออมของคนไทยผ่านข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคารกว่า 80 ล้านบัญชีว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติของ สคฝ. ณ มิ.ย.60 ที่มีปริมาณเงินฝากรวมทั้งสิ้น 12 ล้านล้านบาท (คิดเป็น 72% ของเงินฝากในระบบทั้งหมด) ซึ่งครอบคลุมกว่า 80.2 ล้านบัญชีเงินฝากของผู้ฝากเงินในระบบธนาคารพาณิชย์เกือบ 38 ล้านคน จากสถาบันการเงิน 34 แห่ง พบว่า พฤติกรรมการออมของคนไทยมีความน่าเป็นห่วง ทั้งการกระจุกตัวของเงินฝาก ระดับการออมในบัญชีเงินฝากที่น้อย และการออมในบัญชีที่ให้ผลตอบแทนต่ำ

โดยเงินฝากมีการกระจุกตัวสูงในผู้ฝากรายใหญ่ที่มีสัดส่วน 10% (หรือคิดเป็นประมาณ 3.8 ล้านคน) ของจำนวนผู้ฝากเงินในระบบธนาคารพาณิชย์เกือบ 38 ล้านคน มียอดเงินฝากรวมกันถึง 93% ของจำนวนเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด และมักมีการกระจุกตัวอยู่ในชุมชนเมืองของจังหวัดขนาดใหญ่ เช่น กทม.และปริมณฑล, ชลบุรี, เชียงใหม่, นครราชสีมา และสงขลา เป็นต้น

ทั้งนี้ แม้คนไทยจะมีการเปิดบัญชีเงินฝากกันอย่างแพร่หลาย แต่กลับพบว่าจำนวนเงินในบัญชียังมีไม่มากนัก โดยผู้ฝากเงินมากกว่าครึ่ง หรือ 56.04% มีเงินในบัญชีไม่ถึง 3,142 บาท ขณะที่ผู้ฝากเงินเพียง 0.2% มีเงินในบัญชีมากกว่า 10 ล้านบาท

"คนที่มีบัญชีเงินฝากในธนาคารพาณิชย์มากที่สุด คือคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนคนที่มีบัญชีเงินฝากน้อยที่สุด คือคนทางภาคใต้ ในขณะที่คนภาคอีสาน มีเงินฝากอยู่ในบัญชีน้อยที่สุด" ผลการศึกษาระบุ

อย่างไรก็ดี มีข้อที่น่าสังเกตว่า เพศหญิงมีสัดส่วนของบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์มากกว่าเพศชาย อีกทั้งเพศหญิงมีเงินในบัญชีเงินฝากมากกว่าเพศชายถึงสองเท่าในเกือบทุกช่วงอายุ ซึ่งอาจจะสะท้อนได้ว่าความมีวินัยทางการเงิน หรือทักษะการบริหารจัดการการเงินของเพศหญิงที่มีมากกว่าเพศชาย ซึ่งสอดคล้องกับอีกหลายงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าเพศหญิงมีบทบาทสำคัญในการดูแลการเงินของครัวเรือน จึงอาจทำให้เพศหญิงมีเงินในบัญชีมากกว่าเพศชาย

นอกจากนี้ ในผลการศึกษายังพบว่า ผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ถึง 88% จะฝากเงินไว้กับบัญชีออมทรัพย์เท่านั้น รวมทั้งนิยมฝากกับธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่เป็นหลัก ขณะที่ครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ฝากเงินจะมีเพียง 1 บัญชีเงินฝาก และใช้เพียง 1 สถาบันการเงินเท่านั้น ซึ่งบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ยังเป็นบัญชีมหาชนที่ใช้โดยคนทุกกลุ่มทุกวัย ขณะที่บัญชีเงินฝากประจำจะพบมากในกลุ่มวัยหลังเกษียณ รวมทั้งเงินส่วนใหญ่ของผู้ฝากทุกกลุ่ม (ทุกวัย ทุกเพศ ทุกภูมิภาค) จะฝากอยู่ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เฉลี่ยประมาณ 93.3% ของเงินในพอร์ตผู้ฝาก มีเพียง 6.3% ที่มีเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากประจำ

ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้มีข้อเสนอแนะใน 2 ประเด็น คือ ประการแรก ถึงแม้ว่าคนไทยสามารถเข้าถึงบริการเงินฝาก และมีบัญชีเงินฝากกันได้อย่างแพร่หลาย แต่ยังมีระดับการออมในบัญชีเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ หลักฐานเชิงประจักษ์นี้แสดงให้เห็นว่านโยบายที่จะส่งเสริมการออมต้องไม่หยุดแค่การส่งเสริมการเข้าถึงบริการเงินฝาก (ซึ่งทำได้ดีแล้ว เช่น ความทั่วถึงของสาขาธนาคาร การให้บริการบัญชีเงินฝากพื้นฐาน (basic account) การยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์อย่าง e-KYC หรือ national digital ID เป็นต้น) เท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับนโยบายที่กระตุ้นพฤติกรรมการออม ความตระหนักและความเข้าใจถึงความสำคัญของการออม ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงาน (ทั้งภาครัฐและเอกชน) ก็ได้ส่งเสริมการเข้าถึงและให้ความรู้ทางการเงิน อย่างไรก็ดี งานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการใช้วิธีทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาสร้างแรงจูงใจในการออม

ประการที่สอง คนไทยส่วนใหญ่ยังคงฝากเงินไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แทนการฝากเงินในบัญชีประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และผู้ฝากบางกลุ่มก็ยังคงเก็บเงินในปริมาณมากในบัญชีเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ หลักฐานเชิงประจักษ์นี้อาจสะท้อนถึงการที่ผู้ฝากให้ความสำคัญในบางคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น ความยืดหยุ่นหรือสภาพคล่อง หรือการขาดความตระหนักรู้ถึงผลิตภัณฑ์เงินฝากประเภทต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ หรือการขาดความรู้ในการบริหารจัดการเงิน ดังนั้นการออกแบบผลิตภัณฑ์การออมที่ตรงตามความต้องการทางการเงินของผู้ออมกลุ่มต่าง ๆ ประกอบกับการส่งเสริมความรู้ทางการบริหารจัดการเงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้แก่ผู้ฝาก ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการส่งเสริมการออมที่มีประสิทธิภาพให้กับคนไทย

ด้านนายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการ สคฝ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการศึกษาที่ได้จากความร่วมมือระหว่างทั้งสองหน่วยงาน นอกจากจะมีประโยชน์ในเชิงนโยบายระดับมหภาคแล้ว ยังมีประโยชน์โดยตรงต่อสถาบันคุ้มครองเงินฝากในการดำเนินงานตามพันธกิจ โดยเฉพาะการเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ในการสนับสนุนการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากให้มีเนื้อหาเป็นประโยชน์ตรงกับประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น จากข้อมูลพื้นที่การกระจุกตัวของผู้ฝาก กลุ่มอายุของผู้ฝาก และนำมาใช้ประกอบการวางแผนเชิงปฏิบัติการเพื่อการจ่ายคืน เป็นต้น

อนึ่ง นับจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป วงเงินคุ้มครองเงินฝากจะปรับเป็น 1 ล้านบาท ต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน ซึ่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากได้ประชาสัมพันธ์ร่วมกับหน่วยงานในตาข่ายความมั่นทางการเงินและสถาบันการเงินสมาชิก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนผู้ฝากเงินและเสริมสร้างความมั่นใจต่อระบบคุ้มครองเงินฝากอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ