ภาวะการซื้อขายที่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 พ.ค.) ราคาสัญญาข้าวโพดและถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังการพยากรณ์คาดว่าจะมีฝนตกมากขึ้นเขตมิดเวสต์ในสัปดาห์หน้าซึ่งจะทำให้การเพาะปลูกต้องล่าช้าออกไปอีกและส่งผลกระทบต่อผลผลิต โดยราคาข้าวโพดพุ่งขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 แต่ราคาข้าวสาลีปรับตัวลงต่อเนื่อง
สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนก.ค.พุ่ง 11.5 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 7.595 ดอลลาร์/บุชเชล ขณะที่สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 5 เซนต์ หรือ 0.68% ที่ 8.065 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 0.75 เซนต์ หรือ 0.05% ปิดที่ 13.8025 ดอลลาร์/บุชเชล
นักวิเคราห์การตลาดกล่าวว่า นักลงทุนได้เข้ามาซื้อข้าวโพดและถั่วเหลือง เนื่องจากคาดการณ์ว่าการเพาะปลูกในสหรัฐจะมีความล่าช้าต่อเนื่อง เพราะจะมีฝนตกมากขึ้นในเขตมิดเวสต์ในสัปดาห์หน้า
การพยากรณ์อากาศบ่งชี้ว่า ณ วันที่ 24 พฤษภาคม ลมพายุอาจทำให้วัดปริมาณน้ำฝนได้ถึง 1.5 นิ้ว (3.8 เซนติเมตร) ในรัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นรัฐที่มีความคืบหน้าในการเพาะปลูกล่าช้าที่สุดในสหรัฐ โดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐ (USDA) เปิดเผยว่า การเพาะปลูกข้าวโพดของประเทศอยู่ที่ราว 63% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ 77% ส่วนเทรดเดอร์บางรายกล่าวว่าการเพาะปลูกข้าวโพดควรจะแล้วเสร็จไปแล้วถึง 80% ณ วันเสาร์ที่ผ่านมา
ส่วนตลาดถั่วเหลือง โดยปกติแล้วการเพาะปลูกน่าจะแล้วเสร็จที่ราว 51-52% ในการรายงานตัวเลขในสัปดาห์หน้า แต่อย่างไรก็ตาม USDA เปิดเผยว่า การเพาะปลูกได้แล้วเสร็จไปเพียง 22% ณ วันที่ 15 พฤษภาคม และเทรดเดอร์เชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่การเพาะปลูกจะเร็วขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศจะชื้นแฉะมากขึ้นในสัปดาห์หน้า
ด้านตลาดข้าวสาลี เทรดเดอร์บางรายกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ราคาข้าวสาลีได้ปรับตัวในช่วงขาขึ้น ดังนั้นจึงมีการเทขายทำกำไรเข้ามาบางส่วนซึ่งได้กดราคาข้าวสาลีให้ลดลง นอกจากนี้ การคาดการณ์ที่ว่าจะมีฝนตกในยุโรป ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผลผลิตได้รับผลกระทบจากภัยแล้งนั้น อาจกดราคาข้าวสาลีให้ลดลงมากขึ้น สำนักข่าวซินหัวรายงาน