ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (17 ต.ค.) สู่ระดับต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์ โดยถูกกดดันจากหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ที่ร่วงตามกระแสการเทขายหุ้นกลุ่มการเงินทั่วโลก เนื่องจากความกังวลต่อสถานะการเงินของธนาคารภูมิภาคในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,354.57 จุด ลดลง 81.52 จุด หรือ -0.86% และปิดลบเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 3.1% โดยหุ้น HSBC, Barclays และ Standard Chartered ปรับตัวลง 3%, 5.4% และ 3.2% ตามลำดับ
นักลงทุนความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินเชื่อของธนาคารภูมิภาคในสหรัฐฯ และนึกถึงวิกฤติความเชื่อมั่นเมื่อราวสองปีก่อน
การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกจำกัด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า มาตรการเก็บภาษีสินค้าจีน 100% ไม่สามารถดำเนินการได้ในระยะยาว ซึ่งช่วยบรรเทาความวิตกของนักลงทุน หลังความตึงเครียดระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงจากการที่จีนเข้มงวดการส่งออกแร่หายาก
เศรษฐกิจอังกฤษกลับมาขยายตัวในเดือนส.ค.ตามข้อมูลที่เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า เศรษฐกิจอังกฤษมีแนวโน้มเติบโตเป็นอันดับสองในกลุ่ม G7 ในปี 2568 รองจากสหรัฐฯ
หุ้นกลุ่มปลอดภัย เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและร้านขายยารวมถึงสาธารณูปโภค อยู่ในแดนบวก ซึ่งสะท้อนท่าทีที่ระมัดระวังของนักลงทุน
ดัชนีหุ้นกลุ่มอากาศยานและป้องกันประเทศร่วงลง 3.5% ตามแนวโน้มในตลาดหุ้นยุโรป
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวอื่น ๆ อาทิ หุ้น Fresnillo ร่วง 11% หลังราคาทองคำและพลาตินัมลดลง หุ้น Pearson พุ่งขึ้น 2.5% หลังคาดยอดขายไตรมาส 4 แข็งแกร่งขึ้น และหุ้น Man Group พุ่ง 6.3% หลังสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเติบโตเกินคาด