สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (21 พ.ค.) โดยดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.56% แตะที่ระดับ 99.555
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 143.64 เยน จากระดับ 144.55 เยนในวันอังคาร (20 พ.ค.) ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8251 ฟรังก์ จากระดับ 0.8298 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3841 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3930 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1333 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1273 ดอลลาร์ในวันอังคาร ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3428 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3379 ดอลลาร์
นักลงทุนจับตาร่างกฎหมายปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่ปธน.ทรัมป์พยายามผลักดันให้ผ่านสภาคองเกรส แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า การปรับลดอัตราภาษีครั้งใหม่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังจากสมาชิกพรรครีพับลิกันหลายกลุ่มแสดงความไม่พอใจต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยเรียกร้องให้มีการเพิ่มเพดานการหักภาษีของมลรัฐและท้องถิ่น (SALT) สู่ระดับ 40,000 ดอลลาร์ สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์ต่อปี เพื่อเป็นการเอาใจฐานเสียงพรรครีพับลิกันในรัฐที่มีภาษีสูง
ก่อนหน้านี้ ในปี 2560 ภายใต้กฎหมายปฏิรูปภาษีของปธน.ทรัมป์ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก กฎหมายดังกล่าวได้จำกัดการหักภาษี SALT ไว้ไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในรัฐที่มีภาษีสูง เช่น แคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก และนิวเจอร์ซีย์ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถหักภาษีท้องถิ่นได้เต็มจำนวนอีกต่อไป
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังถูกกดดันหลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้เปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 20 ปี วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ได้รับการตอบรับที่อ่อนแอเกินคาด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนกำลังหลีกเลี่ยงสินทรัพย์สหรัฐฯ