สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (6 ส.ค.) ว่า ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของประเทศในเดือนมิ.ย. ได้ร่วงลง 1% เมื่อเทียบรายเดือนแบบปรับค่าตามฤดูกาลและตามปฏิทินแล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.0%
ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และน่ากังวลยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพิจารณาว่าตัวเลขของเดือนพ.ค. ก็เพิ่งถูกปรับแก้ให้ดีขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะลดลงถึง 1.4% ถูกปรับเป็นลดลงเพียง 0.8% เท่านั้น
สาเหตุสำคัญมาจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ซบเซาลงอย่างหนัก โดยเฉพาะจากลูกค้านอกยุโรป ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าพิษจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเยอรมนีแล้ว
เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดพบว่า ยอดสั่งซื้อจากในประเทศยังคงแข็งแกร่ง เติบโตขึ้น 2.2% ขณะที่ยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศโดยรวมลดลง 3.0% ซึ่งเมื่อแยกย่อยจะพบว่า ยอดสั่งซื้อจากในกลุ่มยูโรโซนเติบโตขึ้น 5.2% ขณะที่ยอดสั่งซื้อจากนอกกลุ่มยูโรโซนกลับดิ่งลงอย่างรุนแรงถึง 7.8%
วินเซนต์ สตาเมอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Commerzbank กล่าวว่า "การลดลงของยอดสั่งซื้อจากนอกกลุ่มยูโรโซนนั้นเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ เริ่มออกฤทธิ์แล้ว" เขากล่าวเสริมว่า "นี่หมายความว่าการฟื้นตัวของยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมยังคงอยู่อีกยาวไกล"
สถานการณ์มีแนวโน้มจะเลวร้ายลงไปอีก เนื่องจากมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บเพิ่ม 15% ต่อสินค้าจากสหภาพยุโรป กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้ (7 ส.ค.) ซึ่งจะทำให้สินค้า "Made in Germany" มีราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี
ด้านกระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีออกมาให้ความเห็นว่า ตัวเลขที่ผันผวนสูงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาจากความไม่แน่นอนทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่ในระดับสูง แต่ก็ยอมรับว่า "เมื่อพิจารณาจากการขึ้นภาษีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่น่าจะกลายเป็นมาตรการถาวรแล้ว ภาคอุตสาหกรรมในอนาคตน่าจะเผชิญกับอุปสงค์จากต่างประเทศที่ซบเซาต่อไป"
สำหรับภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในเดือนมิ.ย. คือกลุ่มอุปกรณ์การขนส่งอื่น ๆ เช่น เครื่องบิน เรือ รถไฟ และยานพาหนะทางการทหาร ซึ่งมียอดสั่งซื้อดิ่งลงถึง 23.1% ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์และผู้ผลิตสินค้าโลหะก็มียอดสั่งซื้อลดลงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณบวกอยู่บ้าง โดยหากไม่นับรวมคำสั่งซื้อลอตใหญ่ (Big-ticket order) ที่มีความผันผวนสูง ยอดสั่งซื้อใหม่ในเดือนมิ.ย. ยังคงเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อมองภาพรวมในระยะ 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย.) ยอดสั่งซื้อใหม่ยังคงสูงกว่าช่วง 3 เดือนก่อนหน้าอยู่ 3.1%