ธนาคารกลางบราซิลมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Selic rate) ไว้ที่ระดับ 15% ในการประชุมเมื่อวันพุธ (5 พ.ย.) ซึ่งนับเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2549 โดยการตัดสินใจดังกล่าวสอดคล้องกับที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์
แถลงการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Copom) ระบุว่า การคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันเป็นระยะเวลานานมากนั้น เพียงพอที่จะทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของคณะกรรมการฯ เมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อนที่ระบุเพียงว่าจะประเมินความเพียงพอของนโยบายต่อไป
เลียม พีช นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านตลาดเกิดใหม่จาก Capital Economics กล่าวว่า แถลงการณ์ล่าสุดแทบจะยุติความหวังที่จะมีการลดดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้ ส่งผลให้เขาปรับคาดการณ์การลดดอกเบี้ยครั้งแรกจากเดือนธ.ค. เป็นเดือนม.ค. ปีหน้า พร้อมเตือนว่ามีโอกาสล่าช้ากว่านั้น
ธนาคารกลางระบุถึงปัจจัยท้าทายที่ยังคงอยู่ ได้แก่ การคาดการณ์เงินเฟ้อที่ไม่ยึดเหนี่ยวกับเป้าหมาย 3% แนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และแรงกดดันจากตลาดแรงงาน นอกจากนี้ Copom ยังคงถ้อยคำเดิมที่เน้นย้ำถึงความพร้อมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากจำเป็น ซึ่งเป็นการคงท่าทีสายเหยี่ยว (hawkish)
ราฟาเอลา วิกตอเรีย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Inter ซึ่งยังคงคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนม.ค.นั้น ตีความว่า นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าหากนโยบายการคลังผ่อนคลายมากขึ้นและอุปสงค์ฟื้นตัว ธนาคารกลางอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากฝ่ายรัฐบาล โดยเฟอร์นันโด ฮัดดัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เรียกร้องให้มีการลดดอกเบี้ย โดยชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Selic Rate ที่หักลบด้วยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์) ที่ระดับ 10% นั้น "ไม่สมเหตุสมผล"
ทั้งนี้ ธนาคารกลางได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2568 ลงเหลือ 4.6% จากเดิม 4.8% และปรับลดคาดการณ์สำหรับไตรมาส 2/2570 ซึ่งเป็นขอบเขตของนโยบายการเงิน ลงเหลือ 3.3% จาก 3.4% ส่วนคาดการณ์ปี 2569 ยังคงเดิมที่ 3.6%
แม้ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดมีทิศทางชะลอตัวและค่าเงินเรียลบราซิลแข็งค่าขึ้นกว่า 13% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ แต่ตลาดแรงงานยังคงตึงตัว