นักวิเคราะห์และผลสำรวจต่าง ๆ บ่งชี้ว่า เทศกาลลดราคาวันแบล็คฟรายเดย์ (Black Friday) ซึ่งมักมีการต่อแถวยาวเหยียดและมีการจับจ่ายอย่างมากในร้านค้าทั่วสหรัฐฯ ดูเหมือนจะเริ่มสูญเสียความน่าสนใจสำหรับผู้บริโภคในปีนี้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แม้มีการคาดการณ์ว่า ยอดการใช้จ่ายจะยังคงแข็งแกร่ง แต่ความตื่นเต้นและความเร่งรีบที่เคยทำให้เทศกาลนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมค้าปลีกของสหรัฐฯ กำลังถูกแทนที่ด้วยความระมัดระวัง ความสงสัย และพฤติกรรมการซื้อรูปแบบใหม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
สมาพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐฯ (U.S. National Retail Federation) คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายในวันแบล็คฟรายเดย์ของผู้บริโภคแต่ละคนโดยเฉลี่ยรวมจะอยู่ที่ 890 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 902 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว
นอกจากนี้ สาเหตุที่ผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงินและวิธีการที่พวกเขาใช้จ่าย ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องและความกังวลเกี่ยวกับอนาคต
ผลสำรวจไดรฟ์ รีเสิร์ช (Drive Research) ในปี 2568 จากนักชอปกว่า 1,200 คน พบว่า 70% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ค่าครองชีพที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่องบการเงินสำหรับการใช้จ่ายในวันแบล็คฟรายเดย์ของพวกเขา และ 57% ระบุว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้นมีผลต่อการใช้จ่าย ขณะที่มากกว่าครึ่งหรือ 54% ระบุว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้ต้องลดการซื้อสินค้า
ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาจากเรดดิต (Reddit) ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ระบุว่า สื่อสังคมออนไลน์และชุมชนออนไลน์กำลังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการชอปปิงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยระบุว่า 79% ของนักชอปสหรัฐฯ ในปัจจุบันหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจซื้อในวันแบล็คฟรายเดย์ด้วยการค้นหาคำแนะนำจากผู้ใช้งานรายอื่นบนเว็บไซต์อย่างเรดดิต
ขณะที่ข้อมูลของกรีนบุ๊ก (Greenbook) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยระบุว่า 83.2% ของผู้ใช้งานติ๊กต๊อกชอป (TikTok Shop) วางแผนที่จะซื้อของขวัญผ่านแอปฯ ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 76.1% ในปีก่อน โดยหลายคนระบุว่า เนื้อหาที่เน้นความบันเทิงของแพลตฟอร์มทำให้พวกเขาต้องการซื้อของขวัญในทันที ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นการซื้อที่แตกต่างอย่างมากจากสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านค้าช่วงแบล็คฟรายเดย์