ผลสำรวจจาก HSBC ซึ่งรวบรวมโดยเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) เปิดเผยในวันนี้ (16 ธ.ค.) ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนอินเดียส่งท้ายปี 2568 ด้วยภาวะที่ซบเซา โดยขยายตัวในอัตราต่ำที่สุดในรอบ 10 เดือนในเดือนธ.ค. เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่ชะลอตัวลงได้ส่งผลกระทบต่อแรงส่งของทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของอินเดีย ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 58.9 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 59.7 ในเดือนพ.ย. แม้ดัชนียังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นเกณฑ์แบ่งระหว่างการขยายตัวกับการหดตัว แต่ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. ที่ผ่านมา
ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตคือการชะลอตัวของยอดคำสั่งซื้อใหม่ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดอุปสงค์ที่สำคัญ แม้ว่าธุรกิจส่งออกใหม่จะเร่งตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากความต้องการสินค้าในตลาดคู่ค้าหลัก อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และตะวันออกกลาง แต่ภาพรวมยังคงได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่เริ่มชะลอตัว
หากพิจารณารายภาคส่วน พบว่าภาคการผลิตสินค้าได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงสู่ระดับ 55.7 จาก 56.6 ในขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นปรับตัวลดลงสู่ระดับ 59.1 จาก 59.8 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตในภาคส่วนหลักของระบบเศรษฐกิจกำลังอ่อนแรงลง
นอกจากนี้ การจ้างงานยังอยู่ในภาวะชะงักงัน โดยอัตราการสร้างงานอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 เนื่องจากภาคธุรกิจประเมินว่ากำลังคนที่มีอยู่เพียงพอต่อภาระงานในปัจจุบัน สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2565 โดยเฉพาะความกังวลในภาคบริการที่มีต่อการเติบโตในระยะข้างหน้า
แอนดรูว์ ฮาร์เกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของเอสแอนด์พี โกลบอล มาร์เก็ต อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า ภาคธุรกิจได้รับปัจจัยบวกจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงสิ้นปี
ต้นทุนปัจจัยการผลิตและราคาขายปรับตัวสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่ราคาสินค้าหน้าโรงงานชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ยังไม่สามารถคลายความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะท้าทายในปี 2569 ได้