ใครจะไปคาดคิดว่าความสัมพันธ์ที่เคยหวานชื่นระหว่างเจ้าพ่อเทคโนโลยี อีลอน มัสก์ กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับตาลปัตรกลายเป็นมหากาพย์สาดโคลนใส่กันอย่างดุเดือด ชนิดที่ว่าไม่เผาผีกันอีกต่อไป เรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยภาพลักษณ์พันธมิตรทางการเมืองซี้ปึ้ก กลับจบลงด้วยการแฉแหลกแหกไปทั้งแวดวงการเมืองและซิลิคอนวัลเลย์ อะไรคือฟางเส้นสุดท้าย และศึกครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนไปไกลแค่ไหน หาคำตอบได้ใน Spotlight วันนี้
ย้อนกลับไปช่วงแรก มัสก์กับทรัมป์ดูจะเป็นคู่หูทางการเมืองที่เข้าขากันสุด ๆ โดยสื่อหลายสำนัก อาทิ รอยเตอร์ รายงานว่า มัสก์ทุ่มเงินมหาศาลเกือบ 300 ล้านดอลลาร์ อัดฉีดแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ในปี 2567 และหนุนหลังนักการเมืองรีพับลิกันอีกเพียบ
เมื่อทรัมป์คว้าชัยชนะ ก็ไม่ลืมที่จะตอบแทนด้วยการตั้งมัสก์คุมหน่วยงานใหม่แกะกล่องชื่อ "กระทรวงประสิทธิภาพภาครัฐ" (Department of Government Efficiency หรือ DOGE) ที่มีภารกิจหลักคือตัดลดงบประมาณภาครัฐที่ไม่จำเป็น ขนาดชื่อเล่นหน่วยงานที่ล้อไปกับเหรียญมีมคริปโทฯ "Dogecoin" ที่มัสก์โปรดปราน ก็บ่งบอกถึงอิทธิพลคับฟ้าที่มัสก์มีในยุครัฐบาลทรัมป์
เราจึงได้เห็นภาพมัสก์เดินเข้าออกห้องทำงานรูปไข่เป็นว่าเล่น แถมยังร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอยู่บ่อยครั้ง ถึงขั้นที่มัสก์เคยโพสต์หวานผ่านเอ็กซ์ (X) ว่า "ผมรัก @realDonaldTrump มากเท่าที่ชายแท้คนหนึ่งจะรักผู้ชายอีกคนได้"
และเพียงสัปดาห์เดียวก่อนที่ความขัดแย้งจะปะทุขึ้น ทรัมป์ยังยกย่องมัสก์ออกสื่อในงานเลี้ยงอำลาตำแหน่งในทำเนียบขาว โดยมัสก์เองก็ย้ำว่าจะยังเป็น "เพื่อนและที่ปรึกษาให้ท่านประธานาธิบดี" ต่อไป
แต่แล้วเค้าลางแห่งความร้าวฉานก็เริ่มปรากฏ โดยสำนักข่าวอัลจาซีรารายงานว่า ข่าวลือหนาหูเรื่องการงัดข้อกันลับหลังระหว่างมัสก์กับคนสนิทของทรัมป์เริ่มเล็ดลอดออกมา ในเดือนเม.ย. มัสก์ประกาศว่าจะลดบทบาทที่กระทรวง DOGE และพอถึงเดือนพ.ค. อิทธิพลของมัสก์ในรัฐบาลก็ดูจะแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความสัมพันธ์พังครืนลงต่อหน้าสาธารณชน คือร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณที่ทรัมป์เรียกว่า เป็นฉบับที่ "สวยงามและยิ่งใหญ่" (One Big Beautiful Bill) มัสก์ออกมาสับเละร่างกฎหมายนี้ว่า "น่าขยะแขยงสุดทน" และเป็นการผลาญงบประมาณชาติอย่างไม่รับผิดชอบ เพราะ "ยัดไส้ด้วยงบเพื่อพวกพ้องและฐานเสียง" อันเป็นการผลาญเงินภาษีประชาชน และประกาศกร้าวว่าจะต่อต้านสส. รีพับลิกันทุกคนที่โหวตผ่าน
ฝ่ายทรัมป์สวนกลับว่า ที่มัสก์เดือดดาลก็เพราะร่างกฎหมายนี้ไปตัดลดเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งกระทบถึงบริษัทเทสลา (Tesla) เต็ม ๆ ทรัมป์บอกว่า "ผิดหวังในตัวมัสก์อย่างแรง" โดยอ้างว่า มัสก์ก็รู้ไส้ในร่างกฎหมายนี้ดีอยู่แล้ว แต่มาโวยวายตอนรู้ว่าเงินหนุน EV จะหดหายไป อย่างไรก็ดี มัสก์ก็ยังยืนกรานว่าเขาไม่แคร์เรื่องลดหย่อนภาษี EV ขอแค่ "งบสิ้นเปลือง" ต้องถูกตัดทิ้ง
ความเห็นต่างครั้งนี้ลุกลามกลายเป็นสงครามน้ำลายผ่านโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
ทรัมป์โพสต์ด่ามัสก์ว่า "สติแตก" (CRAZY) และขู่จะสั่งตัดงบช่วยเหลือและสัญญาทุกอย่างที่รัฐบาลทำไว้กับบริษัทในเครือของมัสก์ ทั้งเทสลาและสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ส่งผลให้หุ้นเทสลาปิดตลาดร่วงลง 14.26% ในวันพฤหัสบดี (5 มิ.ย.)
มัสก์เอาคืนด้วยการทวงบุญคุณว่า ชัยชนะของทรัมป์ในการเลือกตั้งปี 2567 ก็เพราะตนเองแท้ ๆ "ถ้าไม่มีผม ทรัมป์ก็แพ้ไปแล้ว" พร้อมเหน็บว่า "ช่างเนรคุณสิ้นดี"
มัสก์ถึงขั้นยุให้มีการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง และยังปล่อยข่าวว่า ทรัมป์มีชื่อพัวพันใน "เอกสารลับเอปสตีน" ที่โยงใยถึงเจฟฟรีย์ เอปสตีน อาชญากรทางเพศผู้ล่วงลับ
ทรัมป์ก็ไม่ยอมน้อยหน้า อ้างว่าตนเป็นฝ่าย "ไล่มัสก์ออกจากทำเนียบเอง" และบอกว่ามัสก์ "เริ่มจะน่าเอือมระอา" ซึ่งมัสก์ตอกกลับว่าเป็น "เรื่องโกหกหน้าตายชัด ๆ"
มัสก์ยังออกมาเตือนด้วยว่า นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์อาจฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
วงในบางกระแสชี้ว่ารอยร้าวนี้คุกรุ่นมาหลายสัปดาห์แล้ว โดยดิ อินดีเพนเดนต์ (The Independent) กลุ่มสื่อชั้นนำของอังกฤษรายงานว่า ประเด็นหนึ่งคือการที่ทรัมป์ตัดสินใจปัดตกชื่อจาเร็ด ไอแซคแมน คนที่มัสก์หนุนสุดตัวให้เป็นผู้อำนวยการนาซา ซึ่งถูกมองว่าเป็นการ "หักหน้า" มัสก์อย่างแรง และเป็นสัญญาณว่าบารมีของมัสก์เริ่มเสื่อม
นอกจากนี้ยังมีรายงานถึงเรื่องความขัดแย้งที่มัสก์อยากให้องค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) นำเทคโนโลยีดาวเทียมสตาร์ลิงก์ (Starlink) ของตนมาใช้ควบคุมการจราจรทางอากาศ แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและปัญหาทางเทคนิค
การแตกหักชนิดมองหน้ากันไม่ติดครั้งนี้ส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้าง สำหรับทรัมป์ การเสียแรงหนุนจากมัสก์อาจกระทบต่อฐานเสียงในกลุ่มทุนเทคโนโลยี ผู้ติดตามบนโซเชียล และกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ชาย ส่วนมัสก์เองก็เสี่ยงที่จะถูกจับตาและถูกตรวจสอบอย่างหนัก สัญญาธุรกิจที่ทำไว้กับรัฐบาลอาจสั่นคลอน และอาจโดนหน่วยงานกำกับดูแลเรียกไปชี้แจง
คอลัมนิสต์จากนิตยสารไทม์มองว่า มัสก์อาจอ่านเกมผิดไปหน่อย คือลืมตัวว่าตนเป็นแค่ที่ปรึกษา ไม่ใช่ "พระเอก" และความร่ำรวยที่ผูกติดกับหุ้นเทสลาก็อาจไม่ได้มั่นคงอย่างที่คิด ขณะที่ทรัมป์เองนั้นมีประวัติ "วงแตก" กับอดีตคนสนิทมานักต่อนัก และคงหาแหล่งสนับสนุนใหม่แทนมัสก์ได้ไม่ยาก
ความสัมพันธ์ที่พังทลายลงในพริบตา จากคู่หูกลายเป็นคู่กรณี สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งวงการการเมืองและเทคโนโลยี แม้จะมีข่าวจากโพลิติโก (Politico) ว่า ทั้งคู่มีการนัดเคลียร์ใจกันทางโทรศัพท์ แต่ผลกระทบระยะยาวของมหากาพย์สาดโคลนครั้งนี้ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป