คริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่า การที่สหรัฐฯ โจมตีอิหร่านอาจสร้างผลกระทบวงกว้างที่นอกเหนือไปจากผลกระทบด้านพลังงาน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้ระเบิดทำลายบังเกอร์เพื่อโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่าน ได้แก่ ฟอร์โด นาทานซ์ และอิสฟาฮาน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (21 มิ.ย.) ส่งผลให้ตะวันออกกลางเผชิญกับความตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และทำให้ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่แล้วจากความตึงเครียดทางการค้า
กอร์เกียวากล่าวกับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กในวันนี้ (23 มิ.ย.) ว่า IMF มองว่าการที่สหรัฐฯ ตัดสินใจโจมตีอิหร่านในครั้งนี้ยิ่งทำให้สถานการณ์ทั่วโลกตกอยู่ในความไม่แน่นอนมากขึ้น โดยนับจนถึงขณะนี้ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดคือราคาพลังงาน ซึ่ง IMF กำลังจับตาอย่างใกล้ชิด แต่ก็อาจมีผลกระทบที่ใหญ่รองลงมาเป็นอันดับสองและสาม
ทั้งนี้ หากสถานการณ์มีความปั่นป่วนมากขึ้นจนกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่ IMF ก็อาจจะปรับลดคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตทั่วโลกลงอีก หลังจากที่ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา IMF เพิ่งปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 โดยเตือนว่า สงครามการค้าทั่วโลกซึ่งมีต้นตอมาจากสหรัฐฯ จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกอ่อนแอลง
กอร์เกียวากล่าวว่า แนวโน้มดังกล่าวยังคงปรากฏให้เห็นในช่วงสองไตรมาสแรกของปีนี้ และแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ แต่ก็มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ กอร์เกียวาได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเธอคาดว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงกระนั้น ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รู้สึกสบายใจที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้