อินโดนีเซียประกาศในวันนี้ (16 ก.ค.) ว่า ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แล้ว หลังการเจรจาที่ยืดเยื้อและเข้มข้น ส่งผลให้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากอินโดนีเซียในอัตรา 19% จากเดิม 32%
ฮาซัน นาสบี โฆษกประธานาธิบดีอินโดนีเซีย แถลงต่อสื่อมวลชนว่า นี่เป็นความพยายามที่ยอดเยี่ยมของทีมเจรจา ซึ่งนำโดยรัฐมนตรีกระทรวงประสานงานเศรษฐกิจ พร้อมเสริมว่า ข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นจุดลงตัวที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกันได้ โดยอัตราภาษีที่อินโดนีเซียได้รับนั้นต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน
นาสบีกล่าวว่า ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ผู้นำอินโดนีเซียได้ต่อสายตรงพูดคุยกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเตรียมแถลงข่าวทันทีที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ
ด้านปราโบโวระบุผ่านทางอินสตาแกรมว่า อินโดนีเซียและสหรัฐฯ เห็นพ้องก้าวสู่ยุคใหม่ของความสัมพันธ์ทางการค้า ภายหลังการหารือทางโทรศัพท์ที่เป็นไปอย่างดี
ทรัมป์กล่าวว่า ภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ อินโดนีเซียได้ให้คำมั่นว่าจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ วงเงิน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ วงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ ซึ่งหลายลำเป็นรุ่น 777
โครงสร้างข้อตกลงนี้คล้ายกับข้อตกลงที่เคยลงนามเบื้องต้นกับเวียดนาม โดยสินค้าที่ส่งออกจากสหรัฐฯ ไปยังอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นทั้งภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และเป็นครั้งแรกที่เกษตรกร ผู้เลี้ยงสัตว์ และชาวประมงของสหรัฐฯ จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรกว่า 280 ล้านคนอย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันยังมีมาตรการป้องกันกรณีมีการลักลอบนำเข้าสินค้าจีนผ่านอินโดนีเซียด้วย
นักวิเคราะห์มองว่า 19% อย่างน้อยก็ยังดีกว่า 32% แม้สินค้าส่งออก เช่น รองเท้าและสิ่งทอ อาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่หมวดพลังงานและเกษตรน่าจะได้ประโยชน์เต็มที่ ส่วนเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียก็คงพอใจ เพราะอยู่ในกลุ่มประเทศที่ทรัมป์พอใจ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจอินโดนีเซียยังอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย