ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.50% สู่ระดับ 0.75% ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี ในการประชุมนโยบายการเงินเป็นเวลา 2 วัน ซึ่งเริ่มขึ้นในวันนี้ (18 ธ.ค.) ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อจากการอ่อนค่าของเงินเยน
หาก BOJ เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ จะถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. และเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐบาลของซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงแกร่งของญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
BOJ ระบุจากผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจทังกัน (Tankan) ล่าสุดว่า ความไม่แน่นอนจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ผ่อนคลายลงแล้ว ขณะเดียวกัน BOJ ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า การเจรจาปรับค่าจ้างระหว่างฝ่ายแรงงานและนายจ้างในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าส่งสัญญาณเริ่มต้นที่ดี โดยคาซูโอะ อูเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ชี้ว่า แรงส่งดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การคุมเข้มนโยบายการเงินจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมปรับสูงขึ้น ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนชะลอตัวลง ขณะเดียวกันยังช่วยพยุงเสถียรภาพด้านราคา โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยน่าจะช่วยหนุนค่าเงินเยน และลดต้นทุนการนำเข้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันเงินเฟ้อจากฝั่งต้นทุนของญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของญี่ปุ่นนั้น ขยับมาอยู่ที่ระดับเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ของ BOJ หรือสูงกว่านั้นมาแล้วเป็นเวลากว่า 3 ปีครึ่ง
นับตั้งแต่นางทาคาอิจิเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนต.ค. ค่าเงินเยนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลว่า แนวทางสนับสนุนการใช้จ่ายเชิงขยายตัวของรัฐบาลอาจซ้ำเติมสถานะการคลังของประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายเงินเยนและพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น