นายเจมส์กล่าวระหว่างการชี้แจงต่อวุฒิสภาสหรัฐว่า พนักงานหน่วยข่าวกรองถูกบีบให้พักงาน "ประมาณ 70%" จากจำนวนพนักงานด้านข่าวกรองทั้งหมด
"ผมอยู่ในวงการข่าวกรองประมาณ 50 ปี ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย" นายแคลปเปอร์กล่าวผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองเตือนว่า การปิดหน่วยงานภาครัฐและการสั่งพักงานพนักงาน จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในระดับสากลของประชาคมข่าวกรองในการส่งเสริมกองกำลังทหาร การทูต และผู้บริหารประเทศ ขณะที่ภัยอันตรายอาจเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนเกิดความเสียหายที่มองไม่เห็น
ส่วนนายพลคีธ อเล็กซานเดอร์ ผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) กล่าวยืนยันต่อวุฒิสภาว่า การปิดหน่วยงานและการพักงานพนักงานภาครัฐกระทบ NSA "อย่างหนัก" รวมถึงผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อขวัญกำลังใจ เนื่องจาก NSA กำลังใช้มาตรการต่อต้านผู้ก่อการร้ายที่ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด
หลังผ่านสัปดาห์แห่งการตีโต้ร่างกฎหมายไปมาระหว่างวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐแล้ว ในที่สุดสหรัฐก็ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานภาครัฐก่อนเที่ยงคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา
โดยความพยายามในการแก้ไขภาวะชะงักงันดังกล่าวในวินาทีสุดท้าย ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากวุฒิสภาสหรัฐไม่เห็นชอบร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรที่มีวัตถุประสงค์เลื่อนข้อกฎหมายโอบามาแคร์ออกไป ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่กำหนดให้จัดสรรเงินแก่รัฐบาล
ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐบาลกาลของสหรัฐต้องกำหนดตัวบุคคลที่จำเป็นและตัดสินใจว่าจะคงงานในส่วนใดไว้ สำหรับงานบริการสาธารณะที่จำเป็นตั้งแต่บริการไปรษณีย์ไปจนถึงความมั่นคงแห่งชาติ จะอยู่คงดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม พนักงานหน่วยงานภาครัฐถึง 1 ล้านคนจะได้รับผลกระทบจากการปิดทำการครั้งนี้ และพนักงานส่วนหนึ่งจะต้องพักงานอยู่บ้านโดยไม่ได้รับเงินชดเชยในระหว่างนั้น สำนักข่าวซินหัวรายงาน