ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง แห่งเกาหลีใต้ ประกาศจุดยืนบนเวทีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวานนี้ (23 ก.ย.) ลั่นวาจาจะขอ "ยุติวงจรอุบาทว์ของความตึงเครียดทางทหาร" กับเกาหลีเหนือ เพื่อปูทางสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองชาติ
ปธน.อี ซึ่งขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุม UN เป็นครั้งแรก ได้เสนอวิสัยทัศน์ "แนวทางการแก้ไขปัญหาแบบเป็นขั้นตอน" สำหรับปัญหานิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี โดยยอมรับตามความเป็นจริงว่า การปลดอาวุธนิวเคลียร์ให้หมดสิ้นไปนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวกลับถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงจากคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ซึ่งได้ออกมาแถลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (21 ก.ย.) ว่า แผนการใด ๆ ที่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นเป็นเรื่องไม่จริงใจ เพราะลึก ๆ แล้วทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ยังคงมีเจตนาเดิมที่จะทำให้รัฐบาลเปียงยางอ่อนแอลง
คิมระบุว่า เกาหลีเหนือไม่มีเหตุผลที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเจรจากับสหรัฐฯ หากรัฐบาลวอชิงตันล้มเลิกข้อเรียกร้องที่บีบให้เปียงยางต้องปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่เขายืนยันว่าจะไม่มีวันยอมสละคลังแสงนิวเคลียร์เพื่อแลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่นำโดยสหรัฐฯ อย่างเด็ดขาด
ด้านปธน.เกาหลีใต้ย้ำว่า รัฐบาลโซลจะเดินหน้าหาหนทางลดความตึงเครียดทางการทหารและฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันต่อไป พร้อมชี้ให้เห็นถึงการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมล่าสุด เช่น การสั่งยุติการปล่อยใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อและการปิดเครื่องกระจายเสียงโจมตีข้ามพรมแดน
"เราจะค่อย ๆ ขยายความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างสองเกาหลี เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้น" ปธน.อีกล่าวทั้งนี้ แม้ผู้นำเกาหลีเหนือจะประกาศกร้าวว่าจะไม่เจรจากับรัฐบาลโซล แต่คิมกลับกล่าวว่าตนเองมี "ความทรงจำดี ๆ" ต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ซึ่งเคยพบปะกันหลายครั้ง แต่การเจรจาดังกล่าวเป็นอันพับไปเพราะข้อเรียกร้องเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของฝ่ายสหรัฐฯ
เมื่อเดือนที่แล้ว ปธน.ทรัมป์เคยเปรยว่าต้องการจะพบกับคิมอีกครั้งภายในปีนี้ แต่ในการกล่าวสุนทรพจน์ความยาว 55 นาทีต่อที่ประชุม UN เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐฯ กลับไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นเกาหลีเหนือแต่อย่างใด