In Focusหยุดยิงไทย-กัมพูชา บทพิสูจน์อาเซียน และเงาอิทธิพลมหาอำนาจ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday July 30, 2025 15:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

การประกาศหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ตั้งแต่เวลา 24.00 น. หรือเที่ยงคืนของวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2568 ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้ ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยสองประเทศคู่ขัดแย้งเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของอาเซียน และผลประโยชน์ที่ซับซ้อนของชาติมหาอำนาจที่มีต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมรภูมิการแข่งขันเพื่อช่วงชิงอิทธิพลในปัจจุบัน

ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชามีที่มาที่ไปจากข้อพิพาทดินแดนบริเวณชายแดนที่สลับซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 2551 แม้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) จะมีคำตัดสินในปี 2505 ให้ปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ปัญหาการกำหนดแนวเขตแดนโดยรอบยังคงเป็นประเด็นที่คลุมเครือและนำไปสู่การปะทะทางทหารหลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา

การปะทะที่รุนแรงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดความกังวลอย่างกว้างขวางว่าอาจคุกคามเสถียรภาพของอาเซียน ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจการเมืองที่กำลังเติบโต สถานการณ์ที่บานปลายนี้จึงกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการทูตอย่างเร่งด่วนจากหลายฝ่ายที่ต้องการเห็นความสงบสุขกลับคืนมา รวมถึงอาจแฝงไปด้วยผลประโยชน์

ท่ามกลางภาวะทางตันนี้ มาเลเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปัจจุบัน ได้เสนอตัวเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา ณ ปุตราจายา โดยมีสหรัฐอเมริกาและจีนส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์ การประกาศหยุดยิงที่เกิดขึ้นจึงเกิดเป็นคำถามว่า นี่คือชัยชนะทางการทูตสำหรับมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม และอาเซียน หรือใครกันแน่คือผู้กำหนดสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แท้จริง

มาเลเซียและอาเซียน: "ความสำเร็จทางการทูตที่หาได้ยาก"

นักวิเคราะห์หลายคนเรียกข้อตกลงหยุดยิงนี้ว่าเป็น "ความสำเร็จทางการทูตที่หาได้ยาก" สำหรับอาเซียน พร้อมช่วยยกสถานะของกลุ่มในการจัดการวิกฤตการณ์ภายในภูมิภาค

จามิล กานี จาก S. Rajaratnam School of International Studies ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ "ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในบทบาทศูนย์กลางของอาเซียน" และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค โดยนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดำเนินการอย่างรวดเร็วและแสดงทักษะทางการทูตในการเป็นคนกลางเจรจาหยุดยิง เขาเสนอสถานที่ที่เป็นกลางและวางกรอบการเจรจาภายใต้ร่มเงาทางการทูตของอาเซียน ซึ่งเปิดทางให้ทั้งไทยและกัมพูชามี "พื้นที่ทางการเมืองในการลดระดับความรุนแรง" จามิลกล่าว

ขณะที่อัซมี ฮัสซัน นักวิจัยอาวุโสจาก Nusantara Academy for Strategic Research ระบุว่า "ทั้งไทยและกัมพูชาไม่มีใครหยุดยิงก่อน ดังนั้นมาเลเซียจึงต้องเข้ามาเป็นคนกลาง โดยมาเลเซียเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากของไทยและกัมพูชา ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นในการยุติความขัดแย้ง"

ด้านนายกฯ มาเลเซียกล่าวถึงข้อตกลงนี้ว่าเป็น "หลักฐานที่เป็นรูปธรรมของความแข็งแกร่งทางการทูตของอาเซียน" และกล่าวว่ากลุ่มสมาชิก 10 ชาติ "ยังคงเป็นหนึ่งเดียวกันและยึดมั่นในหลักการ"

สำหรับอันวาร์นั้น ความสำเร็จในการเป็นคนกลางเจรจาหยุดยิงดังกล่าวมีความสำคัญทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากชาวมาเลเซียหลายพันคนลงถนนประท้วงปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นและการขาดการปฏิรูปจากรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการประท้วงใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเข้ามาดำรงตำแหน่งในปี 2565

"เหตุการณ์นี้เป็นความสำเร็จด้านนโยบายต่างประเทศที่โดดเด่นในช่วงที่มาเลเซียดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ซึ่งสามารถเสริมสร้างสถานะของรัฐบาลและยกระดับภาพลักษณ์ทางการทูตของมาเลเซีย" จามิลกล่าว

สหรัฐฯ: "การทูตเพื่อผลประโยชน์"

อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การประกาศหยุดยิงนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เร็ว หากขาด "แรงกดดัน" จากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐอเมริกาและจีน

หลังจากการประกาศหยุดยิง ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สหรัฐฯ ที่เป็นกระแสตลอดเวลา ได้ออกมาอ้างความดีความชอบว่า ตนเป็นผู้ผลักดันให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากันเพื่อเจรจา พร้อมประกาศตัวเป็น "ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ"

"ผมเพิ่งพูดคุยกับรักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยและนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ เข้ามามีส่วนร่วม ทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงและสันติภาพ ผมขอแสดงความยินดีกับทุกฝ่าย! ด้วยการยุติสงครามครั้งนี้ เราได้ช่วยชีวิตผู้คนไว้ได้หลายพันคน ... ขณะนี้ผมได้ยุติสงครามหลายครั้งภายในเวลาเพียงหกเดือน ผมภูมิใจที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ!" ปธน.ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social เมื่อวันที่ 28 ก.ค.

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเสริมด้วยว่า "ผมได้สั่งการให้ทีมการค้าของผมเริ่มต้นการเจรจาการค้าอีกครั้ง" ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าเขาได้ผูกเงื่อนไขการเจรจาภาษีกับการหยุดยิงเข้าด้วยกัน โดยทั้งไทยและกัมพูชาต่างเผชิญกับอัตราภาษี 36% สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. หากไม่สามารถเจรจาต่อรองเพื่อลดภาษีได้ โดยทรัมป์ได้ออกมาขู่ไทยและกัมพูชาเพียงสองวันก่อนหน้านั้นว่า ทั้งสองประเทศอาจสูญเสียสิทธิประโยชน์ทางการค้าจากสหรัฐฯ หากไม่ยุติการปะทะ

ผศ.ฉง จา เอียน อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์จาก National University of Singapore (NUS) แสดงความเห็นว่า การที่ทรัมป์นำเรื่องการเจรจาภาษีมาเชื่อมโยงกับการหยุดยิงนั้น ชี้ให้เห็นว่า "ไม่ว่าจีนจะพูดอะไรมากแค่ไหน ประเทศเหล่านี้ก็ยังคงขาดตลาดสหรัฐฯ ไม่ได้" และชี้ว่า "อาเซียนเพียงลำพังไม่สามารถไกล่เกลี่ยให้เกิดการประชุม หรือป้องกันความขัดแย้งไม่ให้ปะทุขึ้น"

นักวิเคราะห์มองว่า การทูตแบบ "โชว์พาว" ของทรัมป์ ที่ใช้คำขู่เรื่องการค้ากดดันผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ "การสร้างสันติภาพที่มุ่งเน้นผลประโยชน์อย่างเลวร้าย" วิธีการนี้อาจให้ผลลัพธ์ในทันที แต่กลับทำลายการมีส่วนร่วมของภูมิภาคในกระบวนการแก้ไขความขัดแย้ง หากสันติภาพเกิดจากแรงกดดันจากภายนอก ไม่ใช่จากการเจรจาภายใน สันติภาพนั้นย่อมเปราะบางตั้งแต่ต้น

จีน: "การทูตที่สุขุม"

ในขณะที่สหรัฐฯ ส่งเสียงดัง การมีส่วนร่วมของจีนในความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชากลับ "สุขุมลุ่มลึกกว่า" จีนได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ภูมิภาคใช้ความยับยั้งชั่งใจและเคารพกระบวนการของอาเซียน พร้อมทั้งส่งผู้สังเกตการณ์ทางการทูตเข้าร่วมการเจรจา

"จีนรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย และขอแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง" แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนเมื่อวันที่ 27 ก.ค. ระบุ "จีนจะรักษาจุดยืนที่ยุติธรรมและเป็นกลาง และจะยังคงติดต่อสื่อสารกับทั้งสองฝ่ายอย่างใกล้ชิด อำนวยความสะดวกในการเจรจาสันติภาพอย่างแข็งขัน และมีบทบาทที่สร้างสรรค์เพื่อการหยุดยิง" และเมื่อสื่อมวลชนถามถึงรายละเอียด "การเสนอความช่วยเหลือของจีน" ในการแถลงข่าววันรุ่งขึ้น โฆษกกระทรวงฯ เพียงกล่าวซ้ำแถลงการณ์เดิมเท่านั้น

ไม่เหมือนกับสหรัฐฯ จีนไม่ได้แสดงอิทธิพลในลักษณะของการบีบบังคับหรือการค้า แต่ยังคงย้ำท่าทีที่ยึดถือมานาน นั่นคือ การแสดงความเป็นกลาง ในขณะเดียวกันก็ปรับท่าทีอย่างระมัดระวังตามกัมพูชาที่ต้องการใช้กระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศเข้ามาแก้ปัญหาข้อพิพาท ทั้งนี้เพราะจีนมีผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจการเมืองของกัมพูชา

อย่างไรก็ดี แม้ความเงียบของจีนอาจดูเหมือนเป็นการเคารพอธิปไตยมากกว่า แต่หากพิจารณากันตามจริงก็จะเห็นได้ว่า จีนแสดงบทบาทชั้นเชิงทางยุทธศาสตร์เช่นกัน กล่าวคือ ยิ่งจีนสามารถฝังตัวเข้าไปในกระบวนการต่าง ๆ ของอาเซียนแบบแนบเนียนไม่ดูเป็นการบีบบังคับได้มากเท่าไหร่ จีนก็ยิ่งสามารถขยายอิทธิพลแบบแอบแฝงโดยไม่เป็นที่สังเกตได้มากขึ้น

โอกาสและคำเตือนสำหรับอาเซียน

ความแตกต่างนี้มีนัยยะ สหรัฐฯ ต้องการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและใช้ประโยชน์จากอำนาจต่อรอง ในขณะที่จีนต้องการอิทธิพลที่ค่อยเป็นค่อยไปและการคงอยู่ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ มหาอำนาจทั้งสองต่างมุ่งที่จะกำหนดระเบียบภูมิภาค และทั้งคู่ต่างจับตาดูอย่างใกล้ชิด

ในขณะเดียวกัน มาเลเซียได้กลายเป็นจุดสนใจ บทบาทของมาเลเซียในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยแสดงให้เห็นว่าอาเซียนสามารถเป็นได้มากกว่าแค่ผู้สังเกตการณ์ การดำเนินบทบาททางการทูตของมาเลเซียแสดงให้เห็นว่า อาเซียนยังคงมีความสำคัญและมีความหมายเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในภูมิภาค การที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม เป็นเจ้าภาพจัดการเจรจาและนำทั้งสองฝ่ายมายังโต๊ะเจรจาถือเป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและจำเป็น การหยุดยิงอาจไม่เกิดขึ้นหากปราศจากการแทรกแซง แต่ขณะเดียวกัน หลักการของอาเซียนเรื่อง "การไม่แทรกแซง" กำลังถูกท้าทายมากขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม ที่สำคัญกว่านั้น อาเซียนกำลังเสี่ยงที่จะกลายเป็นเพียง "โรงละคร" ให้มหาอำนาจภายนอกเข้ามาแสดงบทบาท มากกว่าที่จะเป็นเวทีสำหรับความเป็นปึกแผ่นภายใน

สำหรับอาเซียน นี่จึงเป็นทั้งโอกาสและคำเตือน การหยุดยิงครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้สายตาจับจ้องของสองมหาอำนาจ และยึดโยงกันไว้ด้วย "การทูตที่บางเหมือนเส้นด้าย" สหรัฐฯ ตะโกน ในขณะที่จีนกระซิบ แต่ทั้งคู่ต่างเฝ้าดู รอคอย และคำนวณ

แม้จะบรรลุการหยุดยิงกันแล้ว แต่มีรายงานว่าเกิดการปะทะกันในเช้าวันอังคารหลังข้อตกลงมีผลบังคับใช้เพียงไม่กี่ชั่วโมง อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าแปลกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเศษเสี้ยวของการต่อสู้หลงเหลืออยู่ เนื่องจากผู้บัญชาการระดับท้องถิ่นอาจยังได้รับคำสั่งกันไม่ครบ หรือ "บางครั้ง อาจเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างเช่น ไม่มีวิทยุสื่อสาร" อิลันโก คารุปปันนัน อดีตทูตมาเลเซียกล่าว

ความระแวงสงสัยของไทยที่ว่ากัมพูชาไม่เจรจาอย่างจริงใจ บ่งชี้ถึงปัญหาความไว้วางใจที่ลึกซึ้ง การเรียกร้องของกัมพูชาให้นำความขัดแย้งของสองประเทศเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ สะท้อนถึงความปรารถนาที่จะทำให้ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ในขณะที่ไทยต้องการให้เป็นเรื่องทวิภาคี จุดยืนที่แตกต่างกันเหล่านี้ยังคงอยู่ ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างยั่งยืนมีความซับซ้อน

แม้ว่าเสียงปืนจะสงบลงแล้ว ยังคงมีคำถามค้างคาว่า อาเซียนจะสามารถแก้ไขความขัดแย้งภายในด้วยเงื่อนไขของตนเอง หรือความขัดแย้งในภูมิภาคจะยุติลงได้ ก็ต่อเมื่อสหรัฐฯ หรือจีนเป็นผู้ลิขิต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ