In Focusเปิดปมดราม่า "ทรัมป์" เขี่ยผอ.สำนักสถิติแรงงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday August 6, 2025 14:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ไม่มีใครคาดคิดว่า สำนักสถิติแรงงาน (BLS) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งก่อตั้งมายาวนานกว่า 140 ปี และได้รับความไว้วางใจจากบรรดานักเศรษฐศาสตร์ในฐานะองค์กรไม่ฝักใฝ่ทางการเมืองแห่งนี้ จะมาถึงจุดที่ถูกรัฐบาลตราหน้าว่าเป็นหน่วยงานที่ขาดความว่าเชื่อถือ และลุกลามไปสู่การปลดผู้อำนวยการ BLS ซึ่งเป็นหนึ่งในนักสถิติน้ำดีที่คนในแวดวงเศรษฐศาสตร์ต่างก็ให้การยอมรับ

เหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายนี้เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม เพียงไม่นานหลังจาก BLS เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 106,000 ตำแหน่ง ... และที่สร้างแรงกระเพื่อมมากที่สุดก็คือ BLS ได้ปรับลดการประเมินตัวเลขจ้างงานทั้งในเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายนรวมกันมากถึง 258,000 ตำแหน่ง

การเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ถือเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจได้สร้างความไม่พอใจให้กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดหวังไว้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนจะต้องออกมาดีในยุคที่เขาบริหารประเทศ ความไม่พอใจครั้งนี้รุนแรงถึงขนาดทำให้ทรัมป์มีคำสั่งฟ้าผ่าปลด เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ พ้นเก้าอี้ผู้อำนวยการ BLS

ทรัมป์กล่าวหาแมคเอนทาร์เฟอร์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดนว่า บิดเบือนตัวเลขการจ้างงาน และยังกล่าวหารุนแรงถึงขั้นที่ว่าผู้อำนวยการ BLS กระทำการดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคเดโมแครต และลดทอนความสำเร็จของพรรครีพับลิกัน แม้ว่าทรัมป์ไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันคำกล่าวหาดังกล่าวได้ก็ตาม

* เปิดเบื้องหลังปลดฟ้าผ่าผู้อำนวยการ BLS ... เพราะเป็นคนของไบเดน

เดิมทีนั้น สาธารณชนแทบไม่มีใครรู้จัก เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ นักสถิติที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการ BLS ในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่หลังจากที่ BLS เปิดเผยตัวเลขจ้างงานเดือนก.ค. และทำให้ทรัมป์หัวร้อนจนไฟลุก ชื่อของเอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ ก็ได้ขึ้นไปปรากฏอยู่บนหน้าหนึ่งของสื่อแทบทุกสำนัก

ทรัมป์สั่งปลดแมคเอนทาร์เฟอร์เพียงไม่นานหลังมีการเปิดเผยข้อมูลจ้างงานที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญของเศรษฐกิจ โดยกล่าวหาว่าแมคเอนทาร์เฟอร์บิดเบือนตัวเลขการจ้างงาน ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความโจมตีแมคเอนทาร์บนสื่อโซเชียลว่า BLS โกงรายงานตัวเลขจ้างงาน เหมือนกับการโกงตัวเลขเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี เพื่อจะเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคเดโมแครต เพื่อลดทอนความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพรรครีพับลิกันให้ดูไม่น่าประทับใจ!

แม้ว่าที่ปรึกษาเศรษฐกิจบางคนของทรัมป์พยายามหาคำอธิบายถึงตัวเลขจ้างงานเดือนกรกฎาคมที่ออกมาน่าผิดหวัง รวมถึงการปรับแก้ตัวเลขในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่บ่งชี้ว่าการจ้างงานชะลอตัว แต่เซอร์จิโอ กอร์ หัวหน้าฝ่ายบุคลากรของทำเนียบขาว กลับพูดได้โดนใจทรัมป์มากกว่า นั่นคือ "เธอเป็นคนที่ไบเดนแต่งตั้ง" และนั่นคือเหตุผลใหญ่ที่แมคเอนทาร์เฟอร์ถูกปลด

แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับการตัดสินใจปลดแมคเอนทาร์เฟอร์เปิดเผยว่า ทรัมป์เคยพูดถึงแมคเอนทาร์เฟอร์มาก่อนหน้านี้ โดยวิพากษ์วิจารณ์นักสถิติผู้นี้ที่ได้ขึ้นมานั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ และได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีคนก่อน

แหล่งข่าวกล่าวว่า เฉพาะแค่เรื่องที่แมคเอนทาร์เฟอร์นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของ BLS ก็ทำให้ทรัมป์ไม่พอใจแล้ว กระทั่งเมื่อมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม ทรัมป์ออกอาการปรี๊ดแตก และบอกกับที่ปรึกษาระดับสูงบางคนของเขาว่า เขาต้องการปลดแมคเอนทาร์เฟอร์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวสองคนกล่าวว่า เท่าที่พวกเขาทราบ ไม่มีใครคัดค้านการตัดสินใจดังกล่าวของทรัมป์

การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจในการปลดผู้อำนวยการ BLS ได้นั้น ทำให้ทรัมป์ไม่รอช้าที่จะใช้อำนาจนี้ทันทีหลังรู้ผลตัวเลขจ้างงานในวันศุกร์ ต่างจากเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ไม่ว่าทรัมป์ต้องการจะปลดมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากติดข้อกฎหมาย โดยกฎหมายธนาคารกลางสหรัฐฯ ปีค.ศ. 1913 (Federal Reserve Act of 1913) ระบุไว้ว่า สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟดทั้ง 7 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งวาระละ 14 ปี จะถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลอันสมควร เช่น การประพฤติมิชอบหรือไร้ความสามารถ แต่ไม่รวมถึงกรณีความเห็นต่างในเชิงนโยบาย

* ข่าวเด้งผอ. BLS จุดชนวนการต่อต้านในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ

การที่ทรัมป์ปลดแมคเอนทาร์เฟอร์ถือเป็นตัวอย่างล่าสุดของความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นไปตามวาระทางการเมืองของเขา ซึ่งการตัดสินใจของทรัมป์ได้ถูกประณามทันทีจากบรรดานักเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น "เผด็จการ" "เป็นอันตราย" และแม้กระทั่งคำว่า "สาธารณรัฐกล้วย (banana republic) ซึ่งหมายถึงประเทศที่ไร้เสถียรภาพทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง

นอกเหนือจากบรรดานักเศรษฐศาสตร์แล้ว สหภาพแรงงานและผู้นำพรรคเดโมแครตยังเตือนว่า การปลดแมคเอนทาร์เฟอร์อาจเป็นความพยายามแทรกแซงข้อมูลทางเศรษฐกิจ และอาจสร้างความเสียหายอย่างถาวรต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เคยได้รับการยอมรับว่ามีระบบข้อมูลเศรษฐกิจที่มีมาตรฐานสูงระดับโลก

วิลเลียม บีช อดีตผู้อำนวยการ BLS ซึ่งทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้งเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ปรากฏตัวในรายการ "State of the Union" ของสำนักข่าว CNN เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (3 ส.ค.) เพื่อปกป้องแมคเอนทาร์เฟอร์ โดยเมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า "ท่านประธานาธิบดีบอกว่า ผู้อำนวยการ BLS โกงตัวเลขเหล่านี้ คุณคิดอย่างไร?" บีชตอบว่า "ไม่มีทางที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้" พร้อมกับอธิบายว่า ผู้อำนวยการ BLS ไม่ได้มีส่วนในการรวบรวมข้อมูล และจะเห็นตัวเลขนี้ครั้งแรกในวันพุธก่อนการเผยแพร่เท่านั้น โดยข้อมูลทั้งหมดได้ถูกจัดทำและล็อกอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์

"ผมคิดว่า การปลดผู้อำนวยการ BLS ไม่มีเหตุผล และการกระทำของปธน.ทรัมป์ได้บั่นทอนความน่าเชื่อถือของ BLS" บีชกล่าว และระบุว่า "ทุกปีเรามีการปรับทบทวนตัวเลข ซึ่งตอนที่ผมเป็นผู้อำนวยการ เราก็มีการปรับตัวเลขมากถึง 500,000 ตำแหน่งในช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก โดยเราต้องทำเช่นนั้น เพราะมีธุรกิจใหม่เกิดขึ้น หรือบางธุรกิจก็เลิกกิจการ ซึ่งเราอาจไม่ทราบได้ในระหว่างปี จนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อมูลจากธุรกิจทั้งหมด"

ทั้งนี้ BLS มีหน้าที่จัดทำรายงานการจ้างงานประจำเดือน ซึ่งแสดงจำนวนตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง และการปรับทบทวนย้อนหลังถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อ BLS ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากฝ่ายนายจ้าง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบางคนเปิดเผยกับสื่อว่า ส่วนของรายงานที่ทำให้ทรัมป์โกรธมากที่สุดคือการปรับแก้ตัวเลขจ้างงานครั้งใหญ่ในเดือนพ.ค.และเดือนมิ.ย. ซึ่งทรัมป์อ้างต่อสาธารณะโดยไม่มีหลักฐานว่าเป็นแรงจูงใจทางการเมือง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การปรับแก้ดังกล่าวไม่ได้เป็นสัญญาณของแรงจูงใจทางการเมือง แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการมาตรฐานของรายงานตัวเลขจ้างงานรายเดือน นอกจากนี้ อัตราการตอบกลับแบบสำรวจที่ต่ำก็อาจทำให้การประเมินรายงานทำได้ยากขึ้น ดังนั้น BLS จึงยังคงรวบรวมข้อมูลตามที่ได้รับรายงานและแก้ไขข้อมูลตามความเหมาะสม

* BLS รวบรวมข้อมูลการจ้างงานอย่างไร และนำไปใช้อย่างไร

BLS มีหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในหัวข้อเศรษฐกิจที่หลากหลาย เช่น ค่าจ้าง ผลิตภาพ การมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน และราคาการนำเข้า-ส่งออก ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากการสำรวจที่ดำเนินการโดย BLS ร่วมกับภาคธุรกิจและครัวเรือน หรือร่วมกับสำนักงานสำมะโนประชากร (Census Bureau)

สำหรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรรายเดือนนั้น ได้มาจากการสำรวจภาคธุรกิจและหน่วยงานรัฐบาล ส่วนตัวเลขการว่างงานได้มาจากการสำรวจประชากรที่ทำร่วมกับสำนักงานสำมะโนประชากร จากนั้นนักเศรษฐศาสตร์และนักสถิติจะตรวจสอบข้อผิดพลาด รวบรวมข้อมูลเพื่อหาแนวโน้ม และวิเคราะห์ผลลัพธ์

ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้โดยหน่วยงานรัฐบาลและภาคธุรกิจเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ เป็นแนวทางในการลงทุน และวางแผนการขยายหรือลดขนาดกิจการ

* ข้อมูลแรงงานของ BLS มีความแม่นยำมากเพียงใด

แคธารีน อับราฮัม ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ BLS ตั้งแต่ปี 2536 - 2544 ในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน และจอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวว่า ข้อมูลที่ BLS รวบรวมมานั้นถือเป็นข้อมูลเศรษฐกิจแรงงานที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา

"นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีความผิดพลาด แต่ถือเป็นข้อมูลที่ดีที่สุดที่เรามี" อับราฮัมกล่าว

แม้จะมีการวิเคราะห์แรงงานและเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เผยแพร่โดยบริษัทเอกชนและกลุ่มอุตสาหกรรม แต่เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้อมูลของ BLS ได้รับการยอมรับว่าน่าเชื่อถือก็คือความครอบคลุมของข้อมูลที่ BLS สามารถรวบรวมได้ ซึ่งความน่าเชื่อถือเหล่านี้ได้มาจากการเชื่อมโยงกับสำนักงานสำมะโนประชากรและหน่วยงานอื่น ๆ

นักเศรษฐศาสตร์บางคนกังวลว่าความไม่แน่นอนภายในหน่วยงาน BLS อาจจะส่งผลกระทบให้ผู้คนไม่เข้าร่วมการสำรวจ โดยก่อนหน้าสัปดาห์ที่แล้ว ผู้กำหนดนโยบายและเจ้าหน้าที่ก็กังวลอยู่แล้วว่าการรวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มทำได้ยากขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและอัตราการตอบกลับที่ลดลง

* ทำไมรายงานการจ้างงานจึงต้องมีการปรับแก้

การปรับแก้ตัวเลขการจ้างงานในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนทำให้ภาพรวมตลาดแรงงานดูซบเซากว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่การปรับแก้ถือเป็นเรื่องปกติ

รายงานการจ้างงานฉบับแรกจะอาศัยข้อมูลจากธุรกิจขนาดใหญ่ที่ตอบแบบสำรวจอย่างรวดเร็ว ส่วนข้อมูลจากธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งมักจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมากกว่านั้น จะตามมาทีหลัง

อับราฮัมกล่าวในเรื่องนี้ว่า "เมื่อมีข้อมูลเข้ามามากขึ้น ตัวเลขก็จะได้รับการปรับแก้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ มันคือการแลกเปลี่ยนกันระหว่างการเผยแพร่ตัวเลขอย่างรวดเร็วกับการทำให้ตัวเลขนั้นแม่นยำที่สุดเท่าที่จะทำได้"

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์การปรับแก้ตัวเลขจ้างงานที่ลดลงเมื่อปีที่แล้วในสมัยรัฐบาลไบเดน โดยอ้างอย่างผิด ๆ ว่าตัวเลขเหล่านั้นไม่ใช่ "การปรับแก้" แต่เป็น "การโกหก" โดยทรัมป์หมายถึงเหตุการณ์ในเดือนสิงหาคม 2567 เมื่อ BLS รายงานว่าสหรัฐฯ มีการจ้างงานลดลงถึง 818,000 ตำแหน่งในช่วงเดือนเมษายน 2566 ถึงเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งเป็นการปรับแก้ "เกณฑ์มาตรฐาน" รายปีครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 15 ปี การปรับแก้ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปกติที่กระทรวงแรงงานจะอัปเดตการประมาณการเงินเดือนรายเดือนโดยใช้บันทึกภาษีการว่างงานของรัฐที่มีความครอบคลุมมากกว่า แต่ใช้เวลาในการรวบรวมนานกว่า

* ทำไมการปลดผู้อำนวยการ BLS จึงสร้างความกังวล

อดีตผู้บริหาร BLS หลายคนเรียกการปลดครั้งนี้ว่า "ไม่มีเหตุผล" ซึ่งรวมถึงวิลเลียม บีช อดีตผู้อำนวยการ BLS ที่เปิดเผยกับสื่อเมื่อไม่นานมานี้ว่า ผู้อำนวยการ BLS ไม่มีส่วนร่วมในการสร้างตัวเลขการจ้างงาน และจะไม่เห็นตัวเลขจนกว่าจะได้รับการสรุปในรายงานที่เขียนโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนกล่าวว่า การบิดเบือนข้อมูลของ BLS นั้น มีความเป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะรอดพ้นจากการถูกตรวจจับ ผู้อำนวยการ BLS อาจมีอิทธิพลต่อภาษาที่ใช้ในการอธิบายข้อมูล ชะลอหรือเร่งวันเผยแพร่ หรือปรับเปลี่ยนวิธีการทางสถิติเพื่อแปลงการข้อมูลสำรวจให้เป็นตัวเลขประมาณการระดับประเทศ

ทางด้านอับราฮัมกล่าวว่า "อาจมีคนเข้ามาและพูดว่า 'เราจะเปลี่ยนวิธีคำนวณเหล่านี้โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาว่าการเปลี่ยนแปลงแบบไหนที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ"

อับราฮัมกล่าวว่า เธอไม่กังวลว่าทรัมป์จะแต่งตั้งใครเข้ามาเพื่อ "บิดเบือนตัวเลข" เท่ากับที่เธอกังวลว่าการปลดเจ้าหน้าที่จะทำลายความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อข้อมูลของ BLS หากความน่าเชื่อถือของหน่วยงานแห่งนี้ลดลง ภาคธุรกิจและครัวเรือนก็จะตอบแบบสำรวจด้วยความสมัครใจน้อยลง ซึ่งจะนำไปสู่ข้อมูลที่ไม่แม่นยำและต้องมีการแก้ไขรายเดือนที่ใหญ่ขึ้นเนื่องจากการตอบกลับที่ล่าช้า

"ถ้าผู้คนเชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดถูกบิดเบือน บางคนอาจจะคิดว่า แล้วจะเสียเวลาตอบไปทำไม" อับราฮัมกล่าว

* แมคเอนทาร์เฟอร์ ไม่ใช่เป้าหมายรายแรกในปฏิบัติการ "แทรกแซงสุดซอย"

การปลดแมคเอนทาร์ฟอร์แบบสายฟ้าแลบเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจำนวนมากในรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งยิ่งตอกย้ำความวิตกของสาธารณชนเกี่ยวกับเจตนาแทรกแซงข้อมูลที่ควรเป็นอิสระจากการเมือง

นับตั้งแต่ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสอง เขาเดินหน้าปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหลายองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่เขาเห็นว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาล และล่าสุดเขาได้ทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนกล้าทำ นั่นคือการไล่บี้ประธานธนาคารกลางและข่มขู่รายวันว่าจะปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่พอใจการดำเนินนโยบายการเงิน

รายงานระบุว่า ที่ผ่านมานั้น ทรัมป์จะยอมรับก็ต่อเมื่อผลลัพธ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อเขา และประณามผลลัพธ์ที่ไม่ถูกใจว่าเป็นเรื่องโกงหรือเป็นส่วนหนึ่งของการหลอกลวง โดยเขาเคยคัดค้านผลรางวัลเอมมี (Emmy) อีกทั้งเคยกล่าวอ้างอย่างผิด ๆ ว่าอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ไม่ได้ชนะคะแนนเสียงจากประชาชน (popular vote) และเคยกล่าวหาว่าอดีตคู่แข่งอย่างวุฒิสมาชิกเท็ด ครูซ "ขโมย" ชัยชนะในศึกเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐไอโอวาไปจากเขาในปี 2559

หลังจากแพ้การเลือกตั้งในปี 2563 ทรัมป์ปล่อยข่าวเท็จว่าเขาถูกโกง และนับตั้งแต่กลับมาดำรงตำแหน่ง เขาก็โจมตีแหล่งข่าวที่โจมตีรัฐบาลของเขา รวมถึงผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีไม่เป็นคุณกับเขา

ดร.สตีเฟน ฟาร์นสเวิร์ธ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมรีวอชิงตัน กล่าวว่า แม้ข้อมูลเศรษฐกิจที่แมคเอนทาร์เฟอร์ส่งมอบให้ทำเนียบขาวของทรัมป์จะเป็นข้อมูลเชิงบวกเสียส่วนใหญ่ แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ

"การปลดแมคเอนทาร์เฟอร์คือคำเตือนถึงเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่น ๆ ว่า ทรัมป์ให้ความสนใจอย่างมากว่าข้อมูลจะทำให้เขาดูดีหรือไม่ ประเด็นที่ใหญ่กว่าคือข้อมูลเหล่านี้จะส่งผลอย่างไรต่อตลาดและนักลงทุน หากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ความเป็นกลางหรือความแม่นยำของสถิติจากรัฐบาลถูกตั้งคำถาม ก็เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและพึ่งพาข้อมูลที่น่าเชื่อถือ"

ทั้งนี้ ในอีเมลที่ส่งถึงพนักงาน BLS หลังจากถูกปลด แมคเอนทาร์เฟอร์ได้กล่าวปกป้องผลงานของ BLS ไว้ว่า "BLS สร้างข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดในประเทศ ข้อมูลของเราสามารถขับเคลื่อนตลาดได้ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจที่ทันเวลาและถูกต้องแม่นยำที่สุดที่ภาคธุรกิจและผู้กำหนดนโยบายมีอยู่"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ