นายหทัย อู่ไทย รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวว่า เมื่อพิจารณาการส่งออกสินค้าอาหารของไทยไปยังตลาดอาเซียนประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารประเภทต่างๆ ประกอบด้วย น้ำตาลทราย สิ่งปรุงรส ผลิตภัณฑ์นม ซุปและอาหารปรุงแต่งมีมูลค่า 1,238 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รองลงมาได้แก่ สินค้าจากข้าวและแป้งมูลค่า 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสินค้าประมงมูลค่า 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
จากการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) นั้นพบว่าภาพรวมสินค้าอาหารของไทยหลัง AEC จะมีทิศทางที่ดีขึ้น คือ จากการศึกษาขีดความสามารถในการแข่งขันหลังการเข้าสู่ AEC สินค้าอาหารของไทยมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบเพิ่มขึ้น โดยสินค้าอาหารส่วนใหญ่ ร้อยละ 73 ที่ส่งออกไปตลาดอาเซียนมีความได้เปรียบเพิ่มขึ้น
สำหรับสินค้าอาหารอีก ร้อยละ 26 ที่ไทยส่งออกไปอาเซียนไทยยังมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ แต่ความได้เปรียบนั้นเริ่มลดลงหลังการเข้าสู่ AEC ประกอบด้วย
- บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารสำเร็จรูป มีความได้เปรียบลดลงเนื่องจากประเทศมาเลเซียมีความได้เปรียบมากขึ้น ซึ่งจากเดิมที่มีความได้เปรียบอยู่แล้ว ประกอบกับประเทศอินโดนีเซียและสิงคโปร์มีความเสียเปรียบลดลงจากเดิมที่มีความเสียเปรียบอยู่แล้ว
- ปลา ( แช่แข็ง ) มีความได้เปรียบลดลงเนื่องจากประเทศมาเลเซียมีความเสียเปรียบลดลงจากเดิมที่มีความเสียเปรียบอยู่แล้ว
- ไก่แปรรูป มีความได้เปรียบลดลงเนื่องจากประเทศมาเลเซียมีความเสียเปรียบลดลงจากเดิมที่มีความเสียเปรียบอยู่แล้ว
สำหรับสินค้าอาหารของไทยที่อยู่ในเกณฑ์ที่ 3 ที่สูญเสียความได้เปรียบมี 3 รายการ คิดเป็นร้อยละ 0.06 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารที่ไทยส่งออกไปอาเซียน คือ สินค้าพืช ผัก ผลไม้ สูญเสียความได้เปรียบเนื่องจากประเทศอินโดนีเซียมีความเสียเปรียบลดลงจากเดิมที่มีความเสียเปรียบอยู่แล้ว ประกอบกับประเทศมาเลเซียได้รับความได้เปรียบจากเดิมที่มีความเสียเปรียบ
สินค้าอาหารที่ไทยมีความเสียเปรียบมากขึ้นจากเดิมที่มีความเสียเปรียบอยู่แล้วซึ่งจัดอยู่ในเกณฑ์ที่ 4 มีเพียง 1 รายการคิดเป็นร้อยละ 0.06 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารที่ไทยส่งออกไปอาเซียน ได้แก่ สัตว์น้ำเปลือกแข็ง (ปู หอย)แช่แข็ง เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์มีความได้เปรียบมากขึ้น ประกอบกับประเทศมาเลเซียมีความเสียเปรียบลดลงจากเดิมที่มีความเสียเปรียบอยู่แล้วจากสินค้าที่เริ่มมีปัญหาความสามารถในการแข่งขันหลัง AEC คือ สินค้าที่อยู่ในเกณฑ์ที่ 2 (มีความได้เปรียบลดลง) เกณฑ์ที่ 3(สูญเสียความได้เปรียบ) และเกณฑ์ที่ 4 ( มีความเสียเปรียบมากขึ้น )
เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศจะพบว่า ประเทศที่มีสินค้าอยู่ในกลุ่มต้องรับการพิจารณามากที่สุด คือ สิงคโปร์ โดยมีทั้งสิ้น 14 รายการ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 61.50 ของมูลค่าสินค้าอาหารทั้งหมดที่สิงคโปร์ส่งออกไปยังอาเซียนในปี 2554 รองลงมา คือ ประเทศไทย ซึ่งมีสินค้าที่ต้องพิจารณาทั้งสิ้น 14 รายการเช่นกัน แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 26.32 ของมูลค่าสินค้าอาหารทั้งหมดที่ไทยส่งออกไปยังอาเซียนในปี 2554 ขณะที่ประเทศมาเลเซียมีสินค้าที่อยู่ในกลุ่มต้องรับการพิจารณาน้อยที่สุดเพียง 2 รายการ และมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 10.37 ของมูลค่าสินค้าอาหารทั้งหมดที่มาเลเซียส่งออกไปยังอาเซียนในปี 2554
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--