แท็ก
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พรรคประชาธิปัตย์
ร่างรัฐธรรมนูญ
หาดทิพย์
กมธ.
วันนี้(26 ม.ค.50)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า สิ่งสำคัญที่จะต้องทำคือต้องเร่งสร้างความเป็นเอกภาพในคณะกรรมาธิการฯโดยไม่ควรจะให้มีความรู้สึกว่ามีคณะกรรมาธิการฯสายสภา หรือสายคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)แต่ทุกคนต้องมาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ และอยากให้แสดงจุดยืนโดยเร็วทั้งเรื่องกรอบเวลา ทั้งวิธีการในการให้ประชาชนมีส่วนร่วมและที่สำคัญคือการยึดหลักประชาธิปไตยในการจัดทำ ซึ่งหากสามารถที่จะทำความชัดเจนตรงนี้ได้เร็วเท่าไหร่ ความเชื่อมั่นก็จะมีมากเท่านั้น ขณะเดียวกันคมช.และรัฐบาลควรจะต้องแสดงจุดยืนให้ชัดว่าหากรัฐธรรมนูญที่ร่างมาไม่ผ่านประชามติจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับไหน แก้ไขอย่างไร ซึ่งจะช่วยคลี่คลายบรรยากาศทำให้คนมั่นใจในกระบวนการคืนอำนาจให้กับประชาชนมากขึ้น
“เมื่อพูดว่ายึดรัฐธรรมนูญปี 40 แล้วก็คงต้องพูดต่อไปว่าจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร และอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผมคิดว่าถ้ารัฐบาลและคมช.ยืนยันหลักว่าไม่มีอะไรที่ถอยหลังในเชิงความเป็นประชาธิปไตย จะทำให้คนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ความขัดแย้งและความหวาดระแวงจะลดลง”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าในส่วนของพรรคกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมรายละเอียดเพื่อเสนอแนวคิดในการร่างรัฐธรรมนูญในส่วนของพรรค โดยจะเสนอเป็นประเด็นหลัก ๆ ให้สอดคล้องกับการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งในประเด็นของวุฒิสภา พรรคคิดว่าควรจะยังต้องมีไว้ เพราะคิดว่าระบบสภาเดียวจะทำให้การถ่วงดุล หรือการยับยั้งกระบวนการบางอย่างขาดไป และตนมองเห็นว่าวุฒิสภาเป็นอีกเวทีทางการเมืองสำหรับคนที่อยากทำงานการเมืองโดยไม่สังกัดพรรค โดยเฉพาะตัวแทนองค์กรเอกชน นักเคลื่อนไหวที่ให้ความใส่ใจกับประเด็นต่าง ๆ ทางสังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่คนเหล่านี้จะมีเวทีในรัฐสภา ส่วนที่มาของส.ว.นั้น คิดว่าหากประชาชนมีความคุ้นเคยกับการเลือกตั้งส.ว.แล้วก็น่าที่จะให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งได้ เพียงแต่ไปแก้ไขใน 2 จุด คือ เมื่อมาจากการเลือกตั้งโดยตรงก้ไม่ควรคาดหวังว่าจะเป็นกลางทางการเมืองได้ 100 % ดังนั้นอำนาจหน้าที่อะไรที่คาบเกี่ยวหรือส่งผลกระทบไปยังส่วนได้เสียของนักการเมือง หรือพรรคการเมืองจะต้องเอาออกไป เช่นการถอดถอน หรือการเข้าไปเกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระที่เป็นมา และต้องพิจารณาถึงระบบเลือกตั้งโดยทำอย่างไรให้ความใกล้ชิดระหว่างตัวผู้สมัครส.ว.หรือพรรคการเมืองเป็นอย่างที่ผ่านมา
สำหรับนายกรัฐมนตรีควรจะมาส.ส.เขตหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะต้องพิจารณาก่อนว่าจะเก็บส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหรือไม่ หากจะไม่เก็บไว้ ทางพรรคก็ไม่ขัดข้อง หากเห็นว่าระบบบัญชีรายชื่อมีปัญหาก็ยกเลิกได้ ซึ่งตนไม่ขัดข้องหากจะต้องไปลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบเขต เพราะประเด็นหลักคงไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องดูแลนักการเมือง แต่ควรทำให้ระบบดีที่สุดจะดีกว่า
ส่วนองค์กรอิสระนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคเห็นว่ายังจำเป็นต้องมี แต่ปรับที่มา และอำนาจ เช่นกรณีของศาลรัฐธรรมนูญ คงจะเป็นลักษณะที่ให้ศาลฎีกากับศาลปกครองคัดสรรกันมาและมีลักษณะของการพิจารณาไปตามคดีมากกว่าที่จะเป็นองค์คณะถาวร ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหาการไปรวมศูนย์อำนาจได้ ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)อาจจะต้องถูกถ่วงดุลโดยศาลเลือกตั้ง แล้วมีกฎหมายวิธีพิจารณาคดีเลือกตั้งขึ้นมาเพื่อให้การทำงานทันกับสถานการณ์และสอดคล้องกับลักษณะคดีที่เป็นการเมือง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ม.ค. 2550--จบ--
“เมื่อพูดว่ายึดรัฐธรรมนูญปี 40 แล้วก็คงต้องพูดต่อไปว่าจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร และอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผมคิดว่าถ้ารัฐบาลและคมช.ยืนยันหลักว่าไม่มีอะไรที่ถอยหลังในเชิงความเป็นประชาธิปไตย จะทำให้คนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ความขัดแย้งและความหวาดระแวงจะลดลง”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าในส่วนของพรรคกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมรายละเอียดเพื่อเสนอแนวคิดในการร่างรัฐธรรมนูญในส่วนของพรรค โดยจะเสนอเป็นประเด็นหลัก ๆ ให้สอดคล้องกับการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งในประเด็นของวุฒิสภา พรรคคิดว่าควรจะยังต้องมีไว้ เพราะคิดว่าระบบสภาเดียวจะทำให้การถ่วงดุล หรือการยับยั้งกระบวนการบางอย่างขาดไป และตนมองเห็นว่าวุฒิสภาเป็นอีกเวทีทางการเมืองสำหรับคนที่อยากทำงานการเมืองโดยไม่สังกัดพรรค โดยเฉพาะตัวแทนองค์กรเอกชน นักเคลื่อนไหวที่ให้ความใส่ใจกับประเด็นต่าง ๆ ทางสังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่คนเหล่านี้จะมีเวทีในรัฐสภา ส่วนที่มาของส.ว.นั้น คิดว่าหากประชาชนมีความคุ้นเคยกับการเลือกตั้งส.ว.แล้วก็น่าที่จะให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งได้ เพียงแต่ไปแก้ไขใน 2 จุด คือ เมื่อมาจากการเลือกตั้งโดยตรงก้ไม่ควรคาดหวังว่าจะเป็นกลางทางการเมืองได้ 100 % ดังนั้นอำนาจหน้าที่อะไรที่คาบเกี่ยวหรือส่งผลกระทบไปยังส่วนได้เสียของนักการเมือง หรือพรรคการเมืองจะต้องเอาออกไป เช่นการถอดถอน หรือการเข้าไปเกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระที่เป็นมา และต้องพิจารณาถึงระบบเลือกตั้งโดยทำอย่างไรให้ความใกล้ชิดระหว่างตัวผู้สมัครส.ว.หรือพรรคการเมืองเป็นอย่างที่ผ่านมา
สำหรับนายกรัฐมนตรีควรจะมาส.ส.เขตหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะต้องพิจารณาก่อนว่าจะเก็บส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหรือไม่ หากจะไม่เก็บไว้ ทางพรรคก็ไม่ขัดข้อง หากเห็นว่าระบบบัญชีรายชื่อมีปัญหาก็ยกเลิกได้ ซึ่งตนไม่ขัดข้องหากจะต้องไปลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบเขต เพราะประเด็นหลักคงไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องดูแลนักการเมือง แต่ควรทำให้ระบบดีที่สุดจะดีกว่า
ส่วนองค์กรอิสระนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคเห็นว่ายังจำเป็นต้องมี แต่ปรับที่มา และอำนาจ เช่นกรณีของศาลรัฐธรรมนูญ คงจะเป็นลักษณะที่ให้ศาลฎีกากับศาลปกครองคัดสรรกันมาและมีลักษณะของการพิจารณาไปตามคดีมากกว่าที่จะเป็นองค์คณะถาวร ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหาการไปรวมศูนย์อำนาจได้ ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)อาจจะต้องถูกถ่วงดุลโดยศาลเลือกตั้ง แล้วมีกฎหมายวิธีพิจารณาคดีเลือกตั้งขึ้นมาเพื่อให้การทำงานทันกับสถานการณ์และสอดคล้องกับลักษณะคดีที่เป็นการเมือง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ม.ค. 2550--จบ--