ทำเนียบรัฐบาล--3 ก.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบรายงานการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตข้าวและข้าวโพดของไทยกับประเทศ
คู่แข่ง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้
1. ข้าว
1.1 เปรียบเทียบผลผลิตและการส่งออกข้าวของประเทศที่สำคัญ
ตารางที่ 1 ประเทศผู้ผลิตข้าวสำคัญของโลกปี 2542/43
ประเทศ ปริมาณ (ล้านตันข้าวเปลือก) ลำดับที่ สัดส่วน
จีน 201.43 1 34.27
อินเดีย 126.76 2 21.56
อินโดนีเซีย 50.79 3 8.64
เวียดนาม 30.00 4 5.10
บังคลาเทศ 29.25 5 4.98
ไทย 23.33 6 3.97
ทั่วโลก 587.79 100.00
ตารางที่ 2 ประเทศผู้ส่งออกข้าวสำคัญของโลกปี 2542
ประเทศ ปริมาณ (ล้านตันข้าวสาร) ลำดับที่ สัดส่วน
ไทย 6.10 1 24.92
เวียดนาม 4.50 2 18.38
จีน 2.80 3 11.44
สหรัฐอเมริกา 2.75 4 11.23
อินเดีย 2.40 5 9.80
ปากีสถาน 18.0 6 7.35
ทั่วโลก 24.48 100.00
ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวมากลำดับ 6 ของโลก แต่เป็นผู้ส่งออกข้าวลำดับหนึ่งของโลกนับจากปี
2523 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
1.2 เปรียบเทียบผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทยกับประเทศคู่แข่งขัน
เวียดนามและสหรัฐฯ คือ ประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับรองจากไทย จึงถือว่าเวียดนามและสหรัฐฯ เป็นคู่แข่ง
ที่สำคัญของไทย
เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตต่อไร่ของทั้งไทย เวียดนาม และสหรัฐฯ พบว่าไทยมีผลผลิตต่อไร่ต่ำสุด
1.3 แนวโน้มการผลิตและการส่งออกของข้าวไทย
ที่ผ่านมาผลผลิตข้าวไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งข้าวนาปีและนาปรัง ถึงแม้พื้นที่ปลูกข้าวนาปีจะมีแนวโน้มลดลง
แต่ผลผลิตข้าวนาปียังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพการผลิตของข้าวนาปียังอยู่ในระดับที่ต่ำ
กว่าข้าวนาปรัง
ในด้านการส่งออก การส่งออกทั้งในรูปของข้าวและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า
โดยการส่งออกข้าวสารมีการขยายตัวสูงกว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าว
1.4 ปัจจัยที่มีผลต่อผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทย
1) วิธีการคำนวณผลผลิตต่อไร่ การคิดผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยขึ้นอยู่กับว่าจะคิดผลผลิตต่อไร่ของพื้นที่เพาะปลูก
หรือผลผลิตต่อไร่ของพื้นที่เก็บเกี่ยว โดยเฉพาะในปีที่สภาพดินฟ้าอากาศมีความแปรปรวน วิธีการคิดทั้งสองวิธีจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมาก โดยปกติแล้ว
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในด้านข้อมูลการเกษตร จะนำเสนอผลผลิตต่อไร่ของพื้นที่เพาะปลูก เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพ
โดยเฉลี่ยของการผลิตทั้งหมดแต่ต่างประเทศคำนวณผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยจากเนื้อที่เก็บเกี่ยว จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของไทยกับของ
ต่างประเทศมีความแตกต่างกันมาก
2) ความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ การทำนามีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ร้อยละ 56 ของพื้นที่นาทั่วประเทศ
อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นที่ ๆ ไม่เหมาะสมต่อการทำนา เนื่องจากปัญหาในเรื่องดินซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ และปริมาณฝนน้อยกว่า
ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในระดับต่ำสุด โดยเฉลี่ยเพียงไร่ละ 280 กิโลกรัม ในขณะที่ภาคกลางซึ่งมีพื้นที่เหมาะสม
ส่วนใหญ่จะมีผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 467 กิโลกรัม โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีพื้นที่ที่หมาะสมจะให้ผลผลิตได้สูงถึง 600 - 700 กิโลกรัม
แต่เนื่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนของพื้นที่ทำนามากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทำนาทั่วประเทศ จึงทำให้ผลผลิตโดยเฉลี่ยของทั้งประเทศ
อยู่ในระดับต่ำ
3) แหล่งน้ำ น้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อการเจริญเติบโตของข้าว แต่เนื่องจากพื้นที่ทำนาของไทยถึงร้อยละ 76
เป็นพื้นที่นาในเขตน้ำฝน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการขาดน้ำ แต่พื้นที่นาชลประทานที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงมีเพียงร้อยละ 24 โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเหนือ
และภาคกลางเท่านั้น ทำให้ผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำ
4) พันธุ์ข้าว พันธุ์ข้าวที่ใช้ในประเทศไทยมีหลายสิบชนิดตามความนิยมของเกษตรกร และตามข้อจำกัด
ของสภาพพื้นที่ แต่ข้าวเหนียว ข้าวขาวดอกมะลิ และข้าวพันธุ์พื้นเมือง เป็นข้าวพันธุ์ไวแสง ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องการเจริญเติบโต ตอบสนองต่อปุ๋ยน้อย
และให้ผลผลิตต่ำ แต่เป็นข้าวที่มีรสชาดดี เป็นที่ต้องการบริโภคของประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศด้วย ซึ่งเกษตรกร
ส่วนมากนิยมปลูกข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือนจึงมักจะเลือกพันธุ์ข้าวที่ปลูกโดยคำนึงถึงรสชาดมากกว่าผลผลิตต่อไร่ ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ข้าวไทย
เป็นที่ชื่นชอบของตลาดโลก
1.5 ต้นทุนการผลิต ผลผลิตต่อไร่มิใช่ตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพการผลิตที่จะบ่งบอกถึงศักยภาพในการแข่งขันการส่งออก
แต่ต้นทุนการผลิตจะเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง เมื่อเปรียบเทียบถึงต้นทุนการผลิตข้าวไทยกับคู่แข่ง พบว่าต้นทุนการผลิต
ต่อไร่ของข้าวนาปีของไทยอยู่ในระดับต่ำสุด ในขณะที่สหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายต่อไร่สูงสุด แต่เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อตัน ข้าวเวียดนามจะมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด
แต่ข้าวไทยมีข้อได้เปรียบข้าว เวียดนามในเรื่องของคุณภาพที่ดีกว่าทั้งในด้านกายภาพและรสชาด ดังนั้น หากจะพิจารณาความสามารถในการแข่งขัน
ของข้าวไทยจากการเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตและหากการส่งออกข้าวของประเทศคู่แข่งขันตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน คือ ทุกประเทศไม่มีการอุดหนุน
การส่งออก ข้าวไทยจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงเพียงพอ
2. ข้าวโพด
2.1 แนวโน้มการผลิตและการใช้ข้าวโพดของไทย เนื่องจากพื้นที่ปลูกข้าวโพดมีการแข่งขันกับพืชอื่น โดยเฉพาะอ้อยซึ่ง
เป็นพืชที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการปลูกข้าวโพดทั้งในด้านการผลิตและการตลาด ทำให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลง
แต่ปริมาณผลผลิตโดยรวมยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น จากการที่ความต้องการใช้ขาวโพดที่เพิ่มขึ้น ทำให้การส่งออกข้าวโพด
ของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกันการนำเข้าก็เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าปัจจุบันข้าวโพดเป็นพืชที่ผลิต
เพื่อใช้ในประเทศเท่านั้น
2.2 เปรียบเทียบผลผลิตต่อไร่ของไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวโพดรายใหญ่
ของโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในด้านการผลิตและการส่งออกถึงร้อยละ 40 และ 67 ตามลำดับ ในขณะที่ประเทศไทยมีผลผลิตเพียงปีละ 4 - 5
ล้านตัน เท่านั้น ด้วยความแตกต่างในเรื่องสภาพพื้นที่และเทคโนโลยีที่ใช้ สหรัฐฯ จึงมีผลผลิตต่อไร่ของข้าวโพดที่สูงกว่าของไทยมาก
2.3 ปัจจัยที่มีผลต่อผลผลิตต่อไร่ของข้าวโพดไทย
1) วิธีการคำนวณ การคิดผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เพาะปลูกและผลผลิต ต่อไร่ต่อพื้นที่เก็บเกี่ยวจะให้ค่า
ที่แตกต่างกัน เนื่องจากในการผลิตแต่ละปีจะมีพื้นที่ ๆ ได้รับความเสียหายโดยเฉพาะจากการที่เกิดฝนทิ้งช่วง แต่เพื่อเป็นการแสดงสภาพข้อเท็จจริง
ของสถานการณ์ข้าวโพดโดยรวม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจึงเสนอข้อมูลเกี่ยวกับข้าวโพดในลักษณะของผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูก ทำให้ผลผลิตต่อ
ไร่ต่ำกว่าที่คำนวณโดยเฉลี่ยด้วยพื้นที่เก็บเกี่ยวอย่างที่สหรัฐฯ ดำเนินการ
2) ความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ ข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกในเขตน้ำฝนทั้งหมด แต่ปริมาณน้ำในช่วงข้าวโพด
ออกดอกเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการผลิต พื้นที่ปลูกข้าวโพดหลายแห่งอยู่ในเขตที่มีฝนทิ้งช่วงบ่อยครั้ง ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ โดยเฉลี่ยแล้ว
การปลูกข้าวโพดในพื้นที่ไม่เหมาะสม จะให้ผลผลิตต่อไร่แตกต่างจากการปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสมถึงไร่ละประมาณ 130 - 150 กิโลกรัม
3) พันธุ์ข้าวโพด เมล็ดพันธุ์ที่ใช้เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid) ซึ่งให้ผลผลิตสูงมีคุณภาพสม่ำเสมอจนเป็นที่ยอมรับ
ของเกษตรกร แต่ราคาเมล็ดพันธุ์ก็อยู่ในระดับสูง ทำให้เกษตรกรบางกลุ่มไม่สามารถจะใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมเหล่านี้ได้ แม้พื้นที่เพาะปลูกจะลดลง
แต่หากสามารถช่วยให้เกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์ดีได้ทั้งหมด ผลผลิตต่อไร่ของไทยก็จะเพิ่มขึ้นได้อีกมาก
2.4 ต้นทุนการผลิต ผลผลิตต่อไร่ของข้าวโพดสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่สูงกว่าของไทย แต่เมื่อคิดเป็นต้นทุนการผลิตต่อกิโลกรัม
แล้วจะเห็นว่าข้าวโพดไทยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าข้าวโพดสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศักยภาพการผลิตข้าวโพดของไทยสามารถแข่งขันได้ แต่การที่ข้าว
โพดสหรัฐฯ สามารถส่งออกได้ในราคาถูก เกิดจากการที่รัฐบาลให้การอุดหนุนการผลิตแก่เกษตรกรทั้งในรูปของ Loan Rate และ Direct Payment
และยังมีการอุดหนุนการส่งออกอีกส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้น การเปรียบเทียบการผลิตและการส่งออกของข้าวโพดสหรัฐฯ กับข้าวโพดไทย หากปราศจากการ
ใช้วิธีการให้เงินอุดหนุนหรือตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันแล้ว การผลิตข้าวโพดของเกษตรกรไทยยังมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะแข่งขันกับประเทศอื่นได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 3 ก.ค. 2543--
-สส-
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบรายงานการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตข้าวและข้าวโพดของไทยกับประเทศ
คู่แข่ง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้
1. ข้าว
1.1 เปรียบเทียบผลผลิตและการส่งออกข้าวของประเทศที่สำคัญ
ตารางที่ 1 ประเทศผู้ผลิตข้าวสำคัญของโลกปี 2542/43
ประเทศ ปริมาณ (ล้านตันข้าวเปลือก) ลำดับที่ สัดส่วน
จีน 201.43 1 34.27
อินเดีย 126.76 2 21.56
อินโดนีเซีย 50.79 3 8.64
เวียดนาม 30.00 4 5.10
บังคลาเทศ 29.25 5 4.98
ไทย 23.33 6 3.97
ทั่วโลก 587.79 100.00
ตารางที่ 2 ประเทศผู้ส่งออกข้าวสำคัญของโลกปี 2542
ประเทศ ปริมาณ (ล้านตันข้าวสาร) ลำดับที่ สัดส่วน
ไทย 6.10 1 24.92
เวียดนาม 4.50 2 18.38
จีน 2.80 3 11.44
สหรัฐอเมริกา 2.75 4 11.23
อินเดีย 2.40 5 9.80
ปากีสถาน 18.0 6 7.35
ทั่วโลก 24.48 100.00
ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวมากลำดับ 6 ของโลก แต่เป็นผู้ส่งออกข้าวลำดับหนึ่งของโลกนับจากปี
2523 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
1.2 เปรียบเทียบผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทยกับประเทศคู่แข่งขัน
เวียดนามและสหรัฐฯ คือ ประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับรองจากไทย จึงถือว่าเวียดนามและสหรัฐฯ เป็นคู่แข่ง
ที่สำคัญของไทย
เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตต่อไร่ของทั้งไทย เวียดนาม และสหรัฐฯ พบว่าไทยมีผลผลิตต่อไร่ต่ำสุด
1.3 แนวโน้มการผลิตและการส่งออกของข้าวไทย
ที่ผ่านมาผลผลิตข้าวไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งข้าวนาปีและนาปรัง ถึงแม้พื้นที่ปลูกข้าวนาปีจะมีแนวโน้มลดลง
แต่ผลผลิตข้าวนาปียังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพการผลิตของข้าวนาปียังอยู่ในระดับที่ต่ำ
กว่าข้าวนาปรัง
ในด้านการส่งออก การส่งออกทั้งในรูปของข้าวและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า
โดยการส่งออกข้าวสารมีการขยายตัวสูงกว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าว
1.4 ปัจจัยที่มีผลต่อผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทย
1) วิธีการคำนวณผลผลิตต่อไร่ การคิดผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยขึ้นอยู่กับว่าจะคิดผลผลิตต่อไร่ของพื้นที่เพาะปลูก
หรือผลผลิตต่อไร่ของพื้นที่เก็บเกี่ยว โดยเฉพาะในปีที่สภาพดินฟ้าอากาศมีความแปรปรวน วิธีการคิดทั้งสองวิธีจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมาก โดยปกติแล้ว
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในด้านข้อมูลการเกษตร จะนำเสนอผลผลิตต่อไร่ของพื้นที่เพาะปลูก เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพ
โดยเฉลี่ยของการผลิตทั้งหมดแต่ต่างประเทศคำนวณผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยจากเนื้อที่เก็บเกี่ยว จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของไทยกับของ
ต่างประเทศมีความแตกต่างกันมาก
2) ความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ การทำนามีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ร้อยละ 56 ของพื้นที่นาทั่วประเทศ
อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นที่ ๆ ไม่เหมาะสมต่อการทำนา เนื่องจากปัญหาในเรื่องดินซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ และปริมาณฝนน้อยกว่า
ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในระดับต่ำสุด โดยเฉลี่ยเพียงไร่ละ 280 กิโลกรัม ในขณะที่ภาคกลางซึ่งมีพื้นที่เหมาะสม
ส่วนใหญ่จะมีผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 467 กิโลกรัม โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีพื้นที่ที่หมาะสมจะให้ผลผลิตได้สูงถึง 600 - 700 กิโลกรัม
แต่เนื่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนของพื้นที่ทำนามากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทำนาทั่วประเทศ จึงทำให้ผลผลิตโดยเฉลี่ยของทั้งประเทศ
อยู่ในระดับต่ำ
3) แหล่งน้ำ น้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อการเจริญเติบโตของข้าว แต่เนื่องจากพื้นที่ทำนาของไทยถึงร้อยละ 76
เป็นพื้นที่นาในเขตน้ำฝน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการขาดน้ำ แต่พื้นที่นาชลประทานที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงมีเพียงร้อยละ 24 โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเหนือ
และภาคกลางเท่านั้น ทำให้ผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำ
4) พันธุ์ข้าว พันธุ์ข้าวที่ใช้ในประเทศไทยมีหลายสิบชนิดตามความนิยมของเกษตรกร และตามข้อจำกัด
ของสภาพพื้นที่ แต่ข้าวเหนียว ข้าวขาวดอกมะลิ และข้าวพันธุ์พื้นเมือง เป็นข้าวพันธุ์ไวแสง ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องการเจริญเติบโต ตอบสนองต่อปุ๋ยน้อย
และให้ผลผลิตต่ำ แต่เป็นข้าวที่มีรสชาดดี เป็นที่ต้องการบริโภคของประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศด้วย ซึ่งเกษตรกร
ส่วนมากนิยมปลูกข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือนจึงมักจะเลือกพันธุ์ข้าวที่ปลูกโดยคำนึงถึงรสชาดมากกว่าผลผลิตต่อไร่ ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ข้าวไทย
เป็นที่ชื่นชอบของตลาดโลก
1.5 ต้นทุนการผลิต ผลผลิตต่อไร่มิใช่ตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพการผลิตที่จะบ่งบอกถึงศักยภาพในการแข่งขันการส่งออก
แต่ต้นทุนการผลิตจะเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง เมื่อเปรียบเทียบถึงต้นทุนการผลิตข้าวไทยกับคู่แข่ง พบว่าต้นทุนการผลิต
ต่อไร่ของข้าวนาปีของไทยอยู่ในระดับต่ำสุด ในขณะที่สหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายต่อไร่สูงสุด แต่เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อตัน ข้าวเวียดนามจะมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด
แต่ข้าวไทยมีข้อได้เปรียบข้าว เวียดนามในเรื่องของคุณภาพที่ดีกว่าทั้งในด้านกายภาพและรสชาด ดังนั้น หากจะพิจารณาความสามารถในการแข่งขัน
ของข้าวไทยจากการเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตและหากการส่งออกข้าวของประเทศคู่แข่งขันตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน คือ ทุกประเทศไม่มีการอุดหนุน
การส่งออก ข้าวไทยจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงเพียงพอ
2. ข้าวโพด
2.1 แนวโน้มการผลิตและการใช้ข้าวโพดของไทย เนื่องจากพื้นที่ปลูกข้าวโพดมีการแข่งขันกับพืชอื่น โดยเฉพาะอ้อยซึ่ง
เป็นพืชที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการปลูกข้าวโพดทั้งในด้านการผลิตและการตลาด ทำให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลง
แต่ปริมาณผลผลิตโดยรวมยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น จากการที่ความต้องการใช้ขาวโพดที่เพิ่มขึ้น ทำให้การส่งออกข้าวโพด
ของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกันการนำเข้าก็เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าปัจจุบันข้าวโพดเป็นพืชที่ผลิต
เพื่อใช้ในประเทศเท่านั้น
2.2 เปรียบเทียบผลผลิตต่อไร่ของไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวโพดรายใหญ่
ของโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในด้านการผลิตและการส่งออกถึงร้อยละ 40 และ 67 ตามลำดับ ในขณะที่ประเทศไทยมีผลผลิตเพียงปีละ 4 - 5
ล้านตัน เท่านั้น ด้วยความแตกต่างในเรื่องสภาพพื้นที่และเทคโนโลยีที่ใช้ สหรัฐฯ จึงมีผลผลิตต่อไร่ของข้าวโพดที่สูงกว่าของไทยมาก
2.3 ปัจจัยที่มีผลต่อผลผลิตต่อไร่ของข้าวโพดไทย
1) วิธีการคำนวณ การคิดผลผลิตต่อไร่ต่อเนื้อที่เพาะปลูกและผลผลิต ต่อไร่ต่อพื้นที่เก็บเกี่ยวจะให้ค่า
ที่แตกต่างกัน เนื่องจากในการผลิตแต่ละปีจะมีพื้นที่ ๆ ได้รับความเสียหายโดยเฉพาะจากการที่เกิดฝนทิ้งช่วง แต่เพื่อเป็นการแสดงสภาพข้อเท็จจริง
ของสถานการณ์ข้าวโพดโดยรวม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจึงเสนอข้อมูลเกี่ยวกับข้าวโพดในลักษณะของผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูก ทำให้ผลผลิตต่อ
ไร่ต่ำกว่าที่คำนวณโดยเฉลี่ยด้วยพื้นที่เก็บเกี่ยวอย่างที่สหรัฐฯ ดำเนินการ
2) ความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ ข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกในเขตน้ำฝนทั้งหมด แต่ปริมาณน้ำในช่วงข้าวโพด
ออกดอกเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการผลิต พื้นที่ปลูกข้าวโพดหลายแห่งอยู่ในเขตที่มีฝนทิ้งช่วงบ่อยครั้ง ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ โดยเฉลี่ยแล้ว
การปลูกข้าวโพดในพื้นที่ไม่เหมาะสม จะให้ผลผลิตต่อไร่แตกต่างจากการปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสมถึงไร่ละประมาณ 130 - 150 กิโลกรัม
3) พันธุ์ข้าวโพด เมล็ดพันธุ์ที่ใช้เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid) ซึ่งให้ผลผลิตสูงมีคุณภาพสม่ำเสมอจนเป็นที่ยอมรับ
ของเกษตรกร แต่ราคาเมล็ดพันธุ์ก็อยู่ในระดับสูง ทำให้เกษตรกรบางกลุ่มไม่สามารถจะใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมเหล่านี้ได้ แม้พื้นที่เพาะปลูกจะลดลง
แต่หากสามารถช่วยให้เกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์ดีได้ทั้งหมด ผลผลิตต่อไร่ของไทยก็จะเพิ่มขึ้นได้อีกมาก
2.4 ต้นทุนการผลิต ผลผลิตต่อไร่ของข้าวโพดสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่สูงกว่าของไทย แต่เมื่อคิดเป็นต้นทุนการผลิตต่อกิโลกรัม
แล้วจะเห็นว่าข้าวโพดไทยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าข้าวโพดสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศักยภาพการผลิตข้าวโพดของไทยสามารถแข่งขันได้ แต่การที่ข้าว
โพดสหรัฐฯ สามารถส่งออกได้ในราคาถูก เกิดจากการที่รัฐบาลให้การอุดหนุนการผลิตแก่เกษตรกรทั้งในรูปของ Loan Rate และ Direct Payment
และยังมีการอุดหนุนการส่งออกอีกส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้น การเปรียบเทียบการผลิตและการส่งออกของข้าวโพดสหรัฐฯ กับข้าวโพดไทย หากปราศจากการ
ใช้วิธีการให้เงินอุดหนุนหรือตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันแล้ว การผลิตข้าวโพดของเกษตรกรไทยยังมีขีดความสามารถเพียงพอที่จะแข่งขันกับประเทศอื่นได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 3 ก.ค. 2543--
-สส-