ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 400 จุด โดยถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ
ณ เวลา 20.17 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 408 จุด หรือ 0.89% สู่ระดับ 45,193 จุด
สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักปรับตัวลงในเดือนก.ย.
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Stock Trader's Almanac ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2493 เดือนก.ย.เป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี โดยร่วงลงเฉลี่ย 0.7%
นอกจากนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงเฉลี่ย 4.2% ในเดือนก.ย. และตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีดิ่งลงเฉลี่ย 2%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นจ่อทะลุระดับ 5% ในวันนี้
คำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐมีคำวินิจฉัยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของปธน.ทรัมป์ "มิชอบด้วยกฎหมาย"
ทั้งนี้ ศาลตัดสินว่า มีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่มีอำนาจในการกำหนดการจัดเก็บภาษีในวงกว้าง โดยระบุว่า "อำนาจหลักของสภาคองเกรสในการจัดเก็บภาษี เช่น ภาษีศุลกากรนั้น เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงฝ่ายเดียว"
ด้านปธน.ทรัมป์ระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวมีสาเหตุทางการเมือง และเขาจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาสหรัฐ
การตัดสินของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ
นายเอ็ด มิลส์ จากบริษัท Raymond James ระบุในรายงานว่า "หากคำตัดสินนี้มีผลบังคับใช้จริง จะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เก็บไปแล้ว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น"
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์แสดงความยินดีที่เงินจากการเก็บภาษีศุลกากรกำลังหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังดีดตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในต่างประเทศ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของเยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2554 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหราชอาณาจักรอายุ 30 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2541 ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองในยุโรป