ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวลงในวันนี้ (5 พ.ย.) ท่ามกลางความวิตกกังวลว่ามูลค่าหุ้นที่สูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 49,104.05 จุด ลดลง 2,393.15 จุด หรือ -4.65%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ระดับ 25,878.80 จุด ลดลง 73.60 จุด หรือ -0.28% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ระดับ 3,962.04 จุด เพิ่มขึ้น 1.85 จุด หรือ +0.04%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ดิ่งลง 2.97% โดยหุ้นบริษัทชิปรายใหญ่อย่าง Samsung Electronics ร่วงลงกว่า 7% และหุ้น SK Hynix ดิ่งลง 8% ส่วนดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปรับตัวลง 0.25%
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังจากเดวิด โซโลมอน ซีอีโอของธนาคาร Goldman Sachs กล่าวว่า "มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานลงราว 10-20% ภายในเวลา 12-24 เดือนข้างหน้า" ขณะที่ เท็ด พิค ซีอีโอของธนาคาร Morgan Stanley กล่าวว่า "เราควรเตรียมตัวรับมือการปรับฐานราว 10-15% ซึ่งไม่ได้เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจระดับมหภาค"
ทั้งนี้ คำเตือนของซีอีโอธนาคารรายใหญ่ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในตลาด หลังจากตลาดพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P500 ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากกระแสความเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ (AI)
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของจีน หรือ RatingDog China Services PMI ซึ่งรวบรวมโดย S&P Global ปรับตัวลงแตะระดับ 52.6 ในเดือนต.ค. จากระดับ 52.9 ในเดือนก.ย.
อย่างไรก็ดี ดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการมีการขยายตัว และเป็นการขยายตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2565 นอกจากนี้ ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนต.ค.ยังสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 52.5 เนื่องจากการใช้จ่ายและการเดินทางในช่วงวันหยุดยาวของภาคครัวเรือนเป็นปัจจัยหนุนภาคบริการให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง