บรรดาผู้เชี่ยวชาญ สื่อมวลชน และนักการเมืองเตือนว่า อัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ อาจทำให้การเลือกตั้งกลางเทอมในปีหน้าเผชิญกับความไม่แน่นอน โดยสำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (16 ธ.ค.) ว่า อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4.6% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี
ดาร์เรลล์ เวสต์ นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันบรูกกิงส์ (Brookings Institution) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ "ละเลยเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเขา ซึ่งก็คือการทำให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น"
"การว่างงานกำลังเพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง นี่เป็นการรวมกันของสิ่งที่เลวร้ายสำหรับผู้ที่รณรงค์หาเสียงด้วยประเด็นเหล่านี้และให้สัญญาว่าจะมุ่งเน้นในเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ... เขากำลังใช้เวลาอย่างมากไปกับนโยบายต่างประเทศ และไม่ได้ทุ่มเทเวลาให้กับประเด็นสำคัญภายในประเทศอย่างเพียงพอ" เวสต์กล่าว โดยเขายกตัวอย่างถึงการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เสริมกำลังทหารนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา
"สิ่งนี้จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอม" เวสต์กล่าว โดยเขาหมายถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงหนึ่งปีข้างหน้า
ขณะที่ผลสำรวจของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นเดือนพ.ย.แสดงให้เห็นว่า 72% ของชาวอเมริกันที่เข้าร่วมการสำรวจมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังดำเนินไปไม่ดีนัก และ 61% เชื่อว่านโยบายของทรัมป์กำลังทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง
ด้านคริสโตเฟอร์ กัลดิเอรี ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากวิทยาลัยเซนท์อันเซล์ม (Saint Anselm College) ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์กล่าวกับซินหัวว่า การว่างงานที่สูงขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าที่ค่อย ๆ สูงขึ้นนั้น ถือเป็นการผสมผสานทางการเมืองที่เปราะบาง สิ่งนี้เป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งกลางเทอมที่ย่ำแย่มากสำหรับพรรครีพับลิกัน"
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พรรคที่ครองทำเนียบขาวมักจะมีผลการเลือกตั้งที่ไม่ดีนักในการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งหมายความว่าทรัมป์อาจต้องเผชิญกับเส้นทางที่ยากลำบากข้างหน้า แม้ตัวเลขการว่างงานจะกระเตื้องขึ้นก็ตาม ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง